Friday, January 22, 2010

หนุ่มสาวเอย ... พวกเธอว์จงดราม่าให้สุดติ่ง

 



 


...


 


  คุณเคยเข้าเว็บดราม่าแอดดิกท์หรือยัง? (http://drama-addict.com) มันเป็นเว็บที่เข้าไปแล้วจะซาบซึ้งจนน้ำตาไหล กับความดราม่าของผู้คนในสังคมร่วมสมัยจริงๆ


 ไหน? ใครที่มันชอบบอกว่าคนเราฉลาด รู้จักใช้เหตุผล เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน? วันๆ ผมเห็นแต่คนที่สาดอารมณ์ใส่กัน แบ่งเขาแบ่งเรา แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา ราวกับว่าทุกคนกำลังเป็นนางเอกในละครน้ำเน่า กำลังต่อสู้กับนางอิจฉาที่น่าหมั่นไส้ เพื่อให้ใครสักคนที่กำลังดูอยู่รู้สึกสะใจ


 พวกเราเสพดราม่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยไม่รู้ตัว และกำลังเสพติดมันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น รายการสารคดีคนค้นคนก็ดรามาไทซ์ชีวิตคนพิการ รายการคุยคุ้ยข่าวก็ดรามาไทซ์ข่าวภัยพิบัติและอาชญากรรมสารพัด รัฐบาลไทยก็ดรามาไทซ์เรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบัน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม ก็ดรามาไทซ์เรื่องชนชั้นและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม พอเข้าเว็บบอร์ดพันธ์ทิพย์ดอตคอม ก็เห็นแต่คนดราม่ามานั่งเถียงกันด้วยอารมณ์ในทุกเรื่อง


 ดราม่าหมายถึงละคร การดราม่าไทซ์ก็หมายถึงการทำเรื่องราวต่างๆ สิ่งต่างๆ ในชีวิตจริง ให้กลายเป็นเหมือนละครไปเสียหมด วิธีการก็คือจับประเด็นปัญหาอะไรขึ้นมาสักอย่าง ตัดทอนรายละเอียดและความซับซ้อนออกไป ให้เหลือเพียงความขัดแย้งเพียง 2 ฝ่ายที่สุดขั้ว คือฝ่ายนางเอกและนางอิจฉา แล้วก็โหมกระพือความขัดแย้งนี้ให้ใหญ่โตขึ้น และสุดท้ายก็คือการนำไปสู่จุดไคลแมกซ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ


 วิธีคิดแบบดราม่านั้นฝังลึก มันถ่ายทอดมากับตำนาน นิทาน และเรื่องเล่าทุกชนิดในประวัติศาสตร์มนุษย์ จนถึงปัจจุบัน มันถูกผลิตซ้ำในป๊อปคัลเจอร์ทุกอย่าง กล่อมเกลาจนเรามีอาการ Drama-addict ในใจลึกๆ แล้วเราจึงไม่ได้ใช้เหตุผลหรอก ไม่ได้รักสงบ ไม่ได้อยากรับความยุติธรรม จริงๆ แล้วเรากระหายความขัดแย้ง และเว้าวอนที่จะได้รับความอยุติธรรม เพื่อที่เราจะได้อ้างเหตุผลในการสวมบทบาทนางเอก ออกมาดราม่าใส่กันไปได้เรื่อยๆ


 มันน่าตลกที่เราหลงคิดว่ามันเป็นจริงเป็นจังเสียเหลือเกิน มองไม่ออกกันเลยหรือว่าทั้งหมดนี้มันคือดราม่าทั้งนั้น และที่น่าตลกขึ้นไปอีก คือเราทุกคนคิดว่าเราเป็นฝ่ายนางเอกตลอด แล้วฝ่ายตรงข้ามเราต้องเป็นฝ่ายผิด และเป็นนางอิจฉาตลอด


 พวกเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงก็กำลังจมอยู่ในวังวนดราม่าเรื่องเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาได้ผลัดกันสวมบทตัวเอกตามเนื้อเรื่อง ยกตัวอย่างง่ายที่สุด เอาเรื่อง "บ้านทรายทอง" ก็แล้วกัน เมื่อ 2-3 ปีก่อน พวกเสื้อเหลืองสวมบทพจมานพร่ำเพ้อถึงความเจ็บช้ำน้ำใจภายในบ้านทรายทอง หม่อมแม่โกงบ้านไป หญิงเล็กคอยดูถูกเหยียดหยาม แต่พอมาถึงปัจจุบัน เสื้อแดงก็ผลัดมาสวมบทพจมานนี้เช่นกัน พร่ำเพ้อถึงความอยุติธรรมในบ้านทรายทอง ชายกลางสองมาตรฐาน ตัดสินลำเอียงให้พวกสว่างวงศ์ ฯลฯ


 อาการ Drama-addict เหมือนอาการติดเหล้ายา คือต้องกินเหล้าหรือใช้ยามากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ยิ่้งนับวัน ดราม่าก็จะต้องยิ่งซับซ้อนขึ้น หนักข้อขึ้น และขยายประเด็นให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อ 2-3 ปีก่อน พจมานเสื้อเหลืองได้ขยายประเด็นดราม่าเรื่อง "กูไม่เอาทักษิณ" ไปสู่เรื่องการกู้ชาติ ปกป้องสถาบัน นักวิชาการเสื้อเหลืองก็ขยายประเด็น ไปสู่เรื่องการต่อสู้กับระบอบทุนนิยมสามานย์


 มาตอนนี้ก็ถึงคิวของพจมานเสื้อแดงบ้าง ดราม่าเรื่อง "กูจะเอาทักษิณ" ก็ขยายประเด็นไปสู่เรื่องสองมาตรฐาน เรื่องต้านการรัฐประหาร ต่อมาก็กลายเป็นเรื่องต้านอำมาตยาธิปไตย และตอนนี้มันได้ขยายใหญ่โตขึ้นไปจนเลยเถิด


 ดราม่าพวกนี้ยิ่งเสพก็ยิ่งสะใจ ยิ่งสะใจก็ยิ่งหลงลืมว่ามันคือดราม่า เพราะมันถูกอำพรางด้วยลักษณะที่คล้ายว่าเป็นข้อเท็จจริงและเหตุผล มีการนำหลักฐานต่างๆ มาเปิดโปงผ่านสื่อ มีการดีเบทโต้ตอบกันไปมาผ่านสื่อ วันๆ พวก Drama-addict ทั้งเหลืองทั้งแดงจะเปิดรับแต่สื่อสีเดียวกันเท่านั้น และชีวิตทั้งชีวิตถูกห้อมล้อมด้วยคนสีเดียวกัน พวกเขาสร้างจักรวาลแห่งความจริงขึ้นมาร่วมกัน ซึ่งมันก็คือจักรวาลแห่งดราม่านั่นเอง


 เว็บบอร์ดต่างๆ ในทุกวันนี้ จึงเหมือนเป็นแบบจำลองของสังคมไทย คือเมื่อมีใครสักคนมาตั้งกระทู้เปิดประเด็นอะไรทิ้งไว้ รอแค่อีกไม่กี่อึดใจ ก็จะมีคนมานำประเด็นนั้นไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามและใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสพติดดราม่า เราดรามาไทซ์ไปเสียทุกเรื่อง เราจินตนาการว่าเป็นพจมานตลอดเวลา ทนทุกข์ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ็บช้ำน้ำใจ ในขณะเดียวกัน ก็สอดส่ายสายตามองหาหม่อมแม่และหญิงเล็ก มาเป็นเหยื่อในจักรวาลดราม่าของเราเอง


 แม้กระทั่งเรื่องสาย HDMI ยังมีคนมานั่งเถียงกันในเว็บบอร์ดพันธ์ทิพย์ดอตคอม แบ่งกันเป็นกลุ่มคนรวยกับคนจน ฝ่ายคนจนบอกว่าตนฉลาดกว่าเพราะสาย HDMI เส้นไหนๆ ราคาเท่าไร ก็ถ่ายทอดสัญญาณได้เท่ากันหมด จะซื้อเส้นแพงๆ ให้โง่ทำไม ส่วนทางคนรวยบอกว่าใครพอใจจะซื้อสายเส้นไหน ราคาเท่าไร ก็เรื่องของเขา เงินของเขา ทำไมต้องมาด่ากันว่าโง่ด้วย (http://drama-addict.com/?p=5533)


 ไม่ว่าจะเป็นเว็บบอร์ดแห่งไหนในไซเบอร์สเปซ ความดราม่าก็แพร่กระจายออกไป ฟักตัว เติบโต และลุกลามรวดเร็วจนน่าขนลุก ในเว็บบอร์ดเด็กดีดอตคอม ก็มีกระทู้เรื่องงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ผ่านไปครู่เดียว มันกลายเป็นกระทู้ดราม่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กลายเป็นการเถียงกันเรื่องสถาบันการศึกษาของเด็กกรุงเทพฯ กับเด็กบ้านนอก (http://drama-addict.com/?p=5904)


 ความขัดแย้งส่วนใหญ่ถูกทำให้ดราม่ามากขึ้น โดยการใส่อุดมการณ์เรื่องชนชั้นและความเท่าเทียมเข้าไป เมื่อยกเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาทีไร ไฟดราม่าก็ถูกจุดติดขึ้นได้เสมอๆ สมัยทักษิณเป็นนายก พอได้ยินข่าวการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก เสื้อเหลืองก็ดราม่ากันเรื่องนายทุนขูดรีด พอสมัยอภิสิทธิ์เป็นนายก พอได้ยินข่าวองคมนตรีฮุบที่ดินเขายายเที่ยง เสื้อแดงก็ดราม่ากันเรื่องอภิสิทธิ์ชน


 ในบ้านทรายทองเวอร์ชั่นจารุณี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการดราม่าไทซ์ประเด็นชนชั้น ทุกครั้งที่หม่อมแม่พูดคำว่า "ไพร่" และพูดถึงเรื่องแม่ของพจมานที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ พจมานจารุณีจะต้องของขึ้นทุกครั้งไป


 คุณตาน้อยและหม่อมแม่ โกงบ้านทรายทองมาจากคุณปู่ของพจมาน ทนายประจำบ้านทรายทองใส่เกียร์ว่างปกปิดเรื่องพินัยกรรม หม่อมแม่กับหญิงเล็กทำตัวเป็นศักดินากดขี่ไพร่ พจมานต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางชนชั้น ก็เลยงอนชายกลางที่ลำเอียงสองมาตรฐานเข้าข้างบ้านตัวเอง


 ตัวละครที่น่าสงสารที่สุด คือหญิงใหญ่ที่สติไม่ค่อยดี กับชายน้อยที่เป็นง่อย ทั้งคู่นี้เป็นสมาชิกรุ่นลูกของบ้านนี้แท้ๆ แต่กลับไม่มีปากไม่มีเสียงใดๆ อย่างแท้จริง และแทบจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากฝ่ายไหน


 หญิงใหญ่กับชายน้อยเปรียบได้กับชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในสังคม ถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำเน่าอันเชี่ยวกรากของดราม่าเรื่องชนชั้นและความเท่าเทียมครั้งแล้วครั้งเล่า โดยตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองและผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังการสร้างดราม่า


 หญิงเล็กคือลูกน้องของตัวร้ายใหญ่สุด เป็นคนที่อยู่แนวหน้าและเผชิญหน้ากับนางเอกที่กำลังยืนหยัดต่อสู้อย่างทุกข์ทน ในสายตาเสื้อแดง หญิงเล็กคือคนอย่างโฆษกรัฐบาล ในสายตาเสื้อเหลือง หญิงเล็กคือคนอย่างโฆษกพรรคเพื่อไทย ตัวละครหญิงเล็กถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจให้น่าหมั่นไส้ เพื่อทำให้คนดูหนังรู้สึกว่า การที่นางเอกต้องลงไม้ลงมือใช้ความรุนแรง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ น่าสะใจ และสมควรแล้ว


 ตาน้อยและหม่อมแม่โกงบ้านทรายทองมายกให้ชายกลาง ชายกลางเลยต้องมาครองอำนาจอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างศักดินากับความเท่าเทียม พจมานดราม่าหาว่าเขาลำเอียงเข้าข้างพวกสว่างวงศ์ ในขณะที่หม่อมแม่และหญิงเล็กก็ดราม่าหาว่าเขาไม่เห็นแก่ประโยชน์ของแม่และน้องสาว ไม่ว่าชายกลางตัดสินอย่างไรในเรื่องอะไร ทั้งสองฝ่ายที่กำลังขัดแย้งกัน ก็ดราม่าหาเหตุผลมาว่าเขาลำเอียงได้เสมอ


 ความซวยของชายกลาง เกิดจากความไม่ชอบธรรมในอำนาจของเขา การที่เขาครอบครองบ้านทรายทองด้วยวิถีทางที่ไม่สง่างาม เหมือนกรณีของอภิสิทธิ์ที่ได้เป็นรัฐบาลหลังจากทหารรัฐประหารมาแล้วส่งต่อให้ ในขณะที่ทักษิณก็แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระมากมาย และจัดการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยความน่าเคลือบแคลง


 ทั้งสองรัฐบาลอ้างเหมือนกันว่าเข้าสู่อำนาจด้วยวิถีทางที่เป็นประชาธิปไตย แต่ผู้คนในบ้านทรายทองที่กำลังขัดแย้งกัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมรับ ดังนั้น ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นชายกลางในสถานการณ์แบบนี้ เขาจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรให้ใครๆ ถูกใจได้เลย


 สิ่้งที่น่าสนใจอีกประการของดราม่า คือโครงเรื่องเดิมๆ จะถูกนำกลับมาวนใช้ใหม่เสมอ บทละครเก่าแก่หลายทศวรรษยังคงถูกนำกลับมาทำใหม่ บ้านทรายทองนี่เราเอามาสร้างกี่รอบแล้ว? ทั้งหนัง ทั้งละคร และแปรเป็นป๊อปคัลเจอร์อื่นๆ อีกเท่าไร คำถามคือเพราะอะไร? คำตอบคือเพราะมันเข้าใจง่าย เรื่องวนเวียนซ้ำซากนั้นเข้าใจง่าย คนเสพติดดราม่าได้รับความดราม่าไปเต็มๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้พล็อตใหม่ ขอเพียงนำพล็อตเดิมกลับมาทำให้ดุเด็ดเผ็ดมันมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ


 ขวาพิฆาตซ้าย ทุนนิยมขูดรีด ปรีดี เสนีย์ สฤษดิ์ หรือแม้แต่พระยาละแวก และออกญาจักรี ตัวละครเดิมๆ ดราม่าเรื่องเดิม มุขเดิมๆ ถูกขุดขึ้นมาใช้ดรามาไทซ์สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน พวกนักประวัติศาสตร์บอกว่ากงล้อประวัติศาสตร์หมุนวนซ้ำรอยเดิมเสมอ แต่สำหรับผู้เสพติดดราม่า จะบอกว่าบ้านทรายทองจะถูกนำมาสร้างใหม่อยู่เสมอ


 คนที่มีอาการ Drama-addict มีลักษณะคล้ายพวกมาโซคิสติก เพราะตามขนบของดราม่า มักจะยืดระยะเวลาความทนทุกข์ทรมานของนางเอกให้ยาวนาน กินเวลาไปเกือบทั้งเรื่อง เธอต้องโดนกดขี่บีบคั้นทั้งกายและใจ จนกระทั่้งถึงตอนจบซึ่งกินเวลาเพียงสั้นๆ ตัวเอกจึงจะเพิ่งได้พบกับแฮปปี้เอนดิ้ง พวก Drama-addict ก็จะทำตัวมาโซคิสต์แบบนี้เช่นกัน คือพร่ำเพ้อว่าพวกฉันแค้นเหลือเกิน พวกฉันโดนโกง พวกฉันมารวมกันต่อสู้ แล้วในที่สุดก็นำไปสู่ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผล เพราะทุกคนคิดว่าตนเองเป็นนางเอก ที่จะต้องชนะในตอบจบเสมอ


 ถ้าเป็นตำนาน นิทาน หนัง ละคร ดราม่าจะจบได้ในตอนท้ายของเรื่อง เมื่อพจมานได้ครอบครองบ้านและชายกลาง ถ้าเป็นกระทู้ในเว็บบอร์ดพันธ์ทิพย์ ดราม่าจะจบลงเมื่อเวลาผ่านไป 2-3 วัน ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกระทู้เรื่องนี้ แล้วก็พากันไปดราม่าในกระทู้เรื่องอื่นแทน หรือถ้าดราม่ากันเดือดเกินไปจริงๆ admin ก็สั่งลบกระทู้ทิ้ง เหมือนล้างไพ่กันใหม่หมด


 แต่สันดานดราม่าของมนุษย์ไม่มีวันจบสิ้น เราชอบลากดราม่าออกมาซัดกันในชีวิตจริงๆ นักการเมืองรู้เรื่อง Drama-addict นี้ดี และเขาใช้มันปั่นหัวเราทุกวี่วัน


 เว็บดราม่าแอดดิกท์ เผยให้เห็นความดราม่าในบอร์ดพันธ์ทิพย์ ด้วยวิธีนำกระทู้หนึ่งออกมา แล้วตัดแยก คัดเลือกบางข้อความในกระทู้นั้นออกมา แล้วจัดการใส่คำอธิบายเพิ่มเข้าไป ด้วยการเสียดสีถากถาง ใส่ไอค่อนสีหน้าตลกๆ แล้วสร้างขึ้นมาเป็นกระทู้ใหม่ของตนเอง มันเหมือนวิธีการรื้อสร้างของพวกสำนักหลังโครงสร้างนิยม ที่ช่วยชี้ให้เห็นจุดปริแตกของสิ่งที่ใครๆ เคยดัดจริตเชื่อกันว่าคือ "การคุยกันด้วยเหตุผล" ในสังคมออนไลน์


 หนุ่มสาวเอย ... พวกเธอว์จงเข้าไปศึกษาวิธีคิดของเว็บดราม่าแอดดิกท์ให้ดีๆ แล้วลองนำมาแอพพลายใช้อธิบายสถานการณ์การเมืองไทยในตอนนี้ แล้วพวกเธอว์จะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่ามันคือบ้านทรายทองดีๆ นี่เอง


 หญิงใหญ่และชายน้อยผู้กระจอกงอกง่อยอย่างพวกเรา จงยืนดูพจมานเหลือง-แดงตบตีกันไปด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจเทอญ



***


หมายเหตุ - เรียบเรียงจากสเตตัสเฟซบุคของผมในช่วงวันที่ 20-21 มกราคม 2553 http://www.facebook.com/theaestheticsofloneliness


 


 

No comments: