...
จู่ๆ คีย์บอร์ดก็พังขึ้นมา ตัวอักษรบนแป้นนิ้วนางมือขวากดไม่ได้เลยสักตัว เมื่อวานก็เลยไม่ได้ทำงานทำการไปเลยทั้งวัน พอดีจังหวะมีงานคอมมาร์ทที่ศูนย์สิริกิติ์ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ เลยออกจากบ้านกะว่าจะไปซื้อคีย์บอร์ดธรรมดาๆ สักตัวมาใช้งานด่วน เดินดูไปเดินดูมา ดันได้คีย์บอร์ดใหม่เป็นเจ้าตัวนี้ ดูหรูหราไฮโซดีไหมล่ะ มันยี่ห้อไมโครซอฟต์ของแท้ เป็นมัลติมีเดียคีย์บอร์ด มีปุ่มลัดให้ใช้เพียบๆ เกิดมาไม่เคยใช้คีย์บอร์ดหรูหราและซับซ้อนแบบนี้มาก่อนเลย ให้ทายกันดูว่าผมซื้อเจ้านี่มาด้วยราคาเท่าไร อิอิ
พอกลับมาถึงบ้านปุ๊บ ด้วยความเห่อของใหม่ เลยรีบแกะกล่องมันออกมา ต่อสายเข้าเครื่องคอมพ์ทันที แล้วติดตั้งไดร์ฟเวอร์เสร็จเรียบร้อย เหลือบไปเห็นคีย์บอร์ดเก่าถูกถอดออกมากองอยู่กับพื้น กะว่าพรุ่งนี้เช้าคงเอาไปทิ้งลงถัง แต่ก็เกิดนึกถึงความหลังเกี่ยวกับมันขึ้นมา คีย์บอร์ดนี้ซื้อมา 7 ปีแล้ว พร้อมกับตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นเพิ่งเข้าทำงานที่นิตยสาร GM เลยอยากซื้อคอมพ์ใหม่ที่เร็วๆ และทันสมัยที่สุดมากใช้พิมพ์งานและต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อแชตกับหาข้อมูล จนถึงตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ยังคงใช้งานได้อยู่เลย ทนมากๆ มีแค่ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาอัพเกรดมันเพิ่มเข้าไปเท่านั้น แต่ชิ้นส่วนที่เจ๊งไปก่อน คือเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้เอง คงเป็นเพราะมันเป็นชิ้นส่วนที่ถูกใช้งานหนักที่สุด ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าผมกดปุ่มบนแป้นคีย์บอร์ดตัวนี้ไปแล้วกี่ล้านครั้ง จนกลายเป็นต้นฉบับบทความ สารคดี สัมภาษณ์ ฯลฯ ไม่รู้กี่พันชิ้นที่ส่งลงตีพิมพ์ในนิตยสาร GM ทุกเดือนๆ สิ่งที่น่าจดจำที่สุด คือต้นฉบับหนังสือพอคเกตบุคส์ของผมอย่างน้อย 5 เล่ม สำเร็จเสร็จได้ด้วยมัน นับตั้งแต่ "เรื่องของผมผู้ชายไม่เกี่ยว" "ดูหนังคนเดียว" "การเดินทางใต้เงาตึก" "เมืองใหญ่ในวงเล็บ" และ "สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา" และต้องนับรวมถึงบทความในบล็อกแห่งนี้ อีกกว่า 200 เรื่อง ที่เขียนมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 ส่วนใหญ่ก็พิมพ์ผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ ถ้าจะทิ้งมันลงถังขยะไปโดยไม่รำลึกถึงมันสักหน่อย คงน่าเสียใจอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วคีย์บอร์ดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเราทุกวัน เรากดพิมพ์บนแป้นทุกๆ วัน ติดต่อกันนานกว่า 7 ปี ถ้าเอามานั่งดูดีๆ มันก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะ ดูได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่บนแต่ละปุ่ม ได้เผยให้เห็นรูปแบบอะไรบางอย่าง
เริ่มต้นกันที่ปุ่มที่ผมกดบ่อยที่สุด ในบรรดาร้อยกว่าปุ่มบนคีย์บอร์ดนั้น คือปุ่ม ......................... Backspace นั่นเอง แปลว่าผมพิมพ์ผิดบ่อยมาก จึงต้องกดลบบ่อยที่สุด
ผมกดปุ่มเคาะวรรค หรือปุ่ม Space ด้วยนิ้วโป้งของมือซ้ายทุกครั้ง ไม่ได้ใช้นิ้วโป้งมือขวาเลย เพิ่งสังเกตตัวเองก็วันนี้แหละ
ผมกดปุ่มยกแคร่ หรือปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้ายตลอด ไม่ได้ใช้ Shift ของมือขวาเลย ไม่ว่าพิมพ์ปุ่มตัวอักษรยกแคร่ของมือไหน เช่นถ้าจะพิมพ์ตัว ฉ.ฉิ่ง ผมก็จะกดปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้าย และปุ่ม ฉ.ฉิ่ง ด้วยนิ้วกลางของมือซ้าย แปลกดีเหมือนกัน
ผมถนัดมือขวา และพิมพ์ด้วยน้ำหนักมือที่หนักมาก กดแต่ละปุ่มส่งเสียงดังมาก ปั่กๆ ปั่กๆ เพื่อนส่วนใหญ่คุ้นหูกับเสียงการพิมพ์ดีดของผมแล้ว มาพิจารณาดูปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือขวา จะเรียบเนียนเหมือนตูดเด็กเลย
ส่วนปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือซ้าย จะมีฝุ่นเกาะอยู่หรอมแหรม
ปุ่มที่ใช้น้อยที่สุดอย่างน่าประหลาด คือปุ่มสระ อึ สังเกตดูว่ามีฝุ่นเกาะหนาที่สุดบนแป้น ในขณะที่ปุ่มข้างเคียงของมัน คือปุ่มสระ อุ และค.ควาย ขาวสะอาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หมดแล้วครับ เท่าที่สังเกตจากคีย์บอร์ดเก่า ผมมองเห็นตัวเองได้ประมาณนี้แหละ
ปล1. ภาพทั้งหมดนำมาตกแต่งโดยเพิ่มคอนทราสต์เข้าไป เพื่อจะได้มองเห็นฝุ่นบนแป้นพิมพ์ได้ชัดขึ้น ปกติดูด้วยตาแบบผ่านๆ มันไม่ได้ซกมกมากนะครับ
ปล2. แถมท้ายด้วยเพลงเพราะๆ จากกัลยาณมิตร ฉันเหงา ของ อัญชลี จงคดีกิจ ฟังแล้วนึกถึงตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเลยแฮะ
...
Friday, November 02, 2007
เก่าไปใหม่มา ได้ใหม่ลืมเก่า
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
3 comments:
โห่!!! สุดยอดเลย สมควรแล้วหละที่เปลี่ยนใหม่ สภาพไม่น่ารอดมาถึง 7 ปีเลยนะเนี่ย!!
จะว่าไป คีย์บอร์ดอันเก่าก็ดูเท่ดีนะ
แต่รู้สึกว่าอันใหม่จะทำให้ขยันทำงานมากขึ้น
ใช่ป่าว?? ฮี่ๆ
ไฮโซมากๆ
Post a Comment