Sunday, October 28, 2007

All The President's Men VS กรรชัย กำเนิดพลอย

...

ด้วยความบังเอิญอย่างที่สุด ตอนหัวค่ำวันนี้เอาดีวีดีหนังเรื่อง All The President's Men มาเปิดดู มันเป็นหนังเกี่ยวกับการเปิดโปงคดีวอเตอร์เกท ที่ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ใช้อำนาจในสมัยที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก ในการบ่อนทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง เพื่อผลในการเลือกตั้งในสมัยที่สองของตน คดีการเมืองสุดอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 และคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นจุดพลิกผันของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง วัฒนธรรมต่างๆ นานาที่ตามมาจนถึงปัจจุบันด้วย คดีนี้ไม่ได้ถูกเปิดโปงโดยพวกซีเอสไอ เอฟบีไอ หรือเจมส์ บอนด์ จากที่ไหน แต่ถูกเปิดโปงโดยฝีมือของนักข่าว 2 คน คือ คาร์ล เบิร์นสไตน์ และ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด จากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ พวกเขาร่วมกันทำข่าวนี้เริ่มต้นจากข่าวเล็กๆ เกี่ยวกับคดีงัดแงะสำนักงานในหมู่ตึกวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นสำนักงานของพรรคเดโมแครต แล้วก็ค่อยๆ สืบสาวโยงใยขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปเจอว่าเรื่องที่วอเตอร์เกทนั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง ข้างล่างผืนน้ำแข็งนั้นยังมีความสกปรกโสมมของการเมืองซ่อนอยู่อีกเพียบ เรื่องราวของนักข่าว 2 คนนี้ กลายเป็นตำนานของวงการนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ทั่วโลก ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างของการทำข่าวแบบ Investigative Journalism ที่คลาสสิคที่สุด

1. หนังเรื่องนี้มีฉากเปิดเรื่องสวยงามมาก เป็นภาพแบบโคลสอัพสุดๆ ที่แป้นเครื่องพิมพ์ดีด ที่เห็นนี่คือหัวพิมพ์ (ไม่รู้ว่าเรียกถูกหรือเปล่า) ที่มันจะกระดกขึ้นตามแรงพิมพ์ดีดของนิ้วมือ ความน่าสนใจของฉากเปิดเรื่อง คือขนาดของภาพเครื่องพิมพ์ดีดที่ใหญ่โตมหึมา ประกอบกับเสียงกระแทกของแป้นพิมพ์แต่ละครั้ง ที่ดังเหมือนกับเสียงระเบิด สะท้อนให้คนดูได้เห็นว่า แป้นพิมพ์ดีดที่อยู่ในมือของนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ที่มีความสามารถนั้น จะกลายเป็นเครื่องมือที่มีความยิ่งใหญ่และมีพลานุภาพไม่แพ้อาวุธใดๆ ในโลกเลย



2. ตัวอักษรบนกระดาษก็มีขนาดใหญ่มหึมา และภาพไหวๆ นี่คือกำลังมีการเลื่อนแคร่



3. กำกับโดย อลัน เจ พาคูล่า และนำแสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ในบทของ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ในบทของ คาร์ล เบิร์นสไตน์ นี่คือบรรยากาศในการทำงานที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ นอกจากจะทำงานในออฟฟิศแล้ว พวกเขายังต้องไปตระเวนสัมภาษณ์แหล่งข่าวนับร้อยๆ คน และค้นเอกสารในห้องสมุดอีกมหาศาล เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน ในขณะที่ทางเอฟบีไอและหน่วยงานที่มีหน้าที่สืบสวนของรัฐ กลับเมินเฉยต่อคดีนี้อย่างสิ้นเชิง



4. ฉากตอนใกล้จบเรื่อง เป็นฉากที่จัดองค์ประกอบภาพได้สวยงามมาก โฟร์กราวนด์เป็นภาพทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดการเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองของ ริชาร์ด นิกสัน ส่วนภาพแบคกราวนด์เป็นภาพ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ คาร์ล เบิร์นสไตน์ ยังคงนั่งทำงานปั่นต้นฉบับข่าวกันต่อไป ตอนนี้พวกเขายังรวบรวมหลักฐานได้ไม่มากนัก และข่าววอเตอร์เกทยังคงไม่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเท่าไร



5. ฉากจบจริงๆ ของเรื่อง ตัดมาที่เครื่องพิมพ์ดีดอีกครั้ง ภาพโคลสอัพเหมือนตอนเปิดเรื่อง เป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทหลังจากนั้น ในที่สุดขบวนการอื้อฉาวของฝ่าย ริชาร์ด นิกสัน ก็ถูกเปิดโปงออกมาจนหมด หลายคนต้องติดคุกนานหลายปี ในขณะที่นิกสันยังคงปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีไป ในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 รวมเวลาในการสืบคดีนี้ยาวนานกว่า 2 ปีเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นเลยว่าประธานาธิบดีที่ฉ้อฉล สามารถล้มได้ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดแบบนี้เอง



6. ที่ผมบอกว่า นี่เป็นความบังเอิญแบบสุดๆ ก็คือ
- บังเอิญที่ 1. ผมเพิ่งเขียนบทความเสร็จไปชิ้นหนึ่ง จะลงในจีเอ็มเล่มถัดไป เกี่ยวกับการทำงานของสื่อมวลชนไทย ว่าวันๆ เอาแต่สนใจกันแต่เรื่องกอสสิปดาราคนดัง คนนี้เอากับคนโน้น คนโน้นไปเอากับคนนั้น แล้วสุดท้ายก็มาตบตีกัน เรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ นักข่าวไทยถนัดนักที่จะวิ่งเอาไมค์ไปจ่อปาก ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวิกฤติในหลายๆ ด้าน และการเลือกตั้งกำลังจะมีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรากลับไม่มีข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้น มีคุณภาพให้เราได้เสพ เพื่อเปิดหูเปิดตาประชาชนกันบ้างเลย
- บังเอิญที่ 2. หลังจากดูหนังเรื่อง All The President's Men ก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกฮึกเหิมในใจ สื่อสารมวลชนและนักหนังสือพิมพ์อย่างเรา ควรจะทำหน้าที่ฐานันดรที่สี่ให้ดีๆ และมีคุณภาพแบบที่ได้เห็นในหนัง และดู บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ คาร์ล เบิร์นสไตน์ เป็นตัวอย่าง หนังเรื่องนี้ยาวตั้งสองชั่วโมงกว่า กว่าหนังจะจบก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ง่วงนอนพอดี พอกดปุ่มปิดเครื่องดีวีดี และกดสวิทช์ทีวีเปลี่ยนช่องมาดูรายการทีวีปกติ ก็เจอภาพนี้ปุ๊บเลย



โอ้ยยยยยยย! ลืมไปเสียสนิท ว่าคืนนี้รายการจับเข่าคุย จะสัมภาษณ์ กรรชัย กำเนิดพลอย เสียดาย ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น!!!! เพราะมัวแต่ดู All The President's Men เสียดายมากกกกกกกก!!! (ประชดน่ะ)

ปล. ช่องไอทีวีในเวลาเดียวกันนี้ กำลังถ่ายทอดสดการประกวดนางสาวไทย (ไอทีวีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีจุดประสงค์ให้เป็นทีวีเสรี ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน -_-" เฮ้ออ)
ปล2. สังเกตดูตัวหนังสือที่วิ่งอยู่ด้านล่างของจอภาพจากรายการจับเข่าคุยสิครับ SMS จากทางบ้านส่งเข้าไปในรายการ สรยุทธให้ร่วมกันแสดงความเห็นว่า อยากจะให้สัมภาษณ์ใครในรายการตอนหน้า มีคนส่งเข้ามาว่าอยากให้สัมภาษณ์ ทาทาเปรม-ภราดรนาตาลี -_-" เรื่องใครเอากับใครอีกแล้วเว้ย น่าติดตามจัง! ประชาชนเป็นยังไง สื่อมวลชนก็เป็นอย่างนั้นแหละ

...

2 comments:

Anonymous said...

โห่...เสียดายไม่ได้ดูเหมือนกัน กรรชัย อยากรู้ว่าจะพูดไรอีก..

wichiter said...

ผมเคยดูเรื่อง All The President's Men สมัยเรียนมัธยม
เป็นการได้ดูที่มีเบื้องหลังตลกมาก คือแม่เพื่อนเขาไปเที่ยวอเมริกาแล้วซื้อวีดีโอเรื่องคนเหล็กมาฝากมัน แต่พอแกะกล่องออกมากดันกลายเป็นเรื่อง All The President's Men ไปซะงั้น :P (จะกลับไปเปลี่ยนกับร้านก็คงไม่ได้เสียแล้ว) พอเพื่อนดูจบก็เอามาให้ผมลองดูต่อ เท่าที่ตอนนี้จะจำได้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ก็โอนะ ดีกว่า JFK

ส่วนสัมภาษณ์กรรชัย กำเนิดพลอย เมื่อคืนนี้ไม่ได้ดูอ่ะ
แต่ก็ได้ดูข่าวทีวีในเรื่องนี้ ดอนดูข่าวของกรรชัยเราดันเกิดความสงสัยในวิธีการใส่แว่นดำในการให้สัมภาษณ์สื่อของดาราอ่ะ(ตอนแถลงข่าวกับเมย์ใส่แว่นกันแดดตอนไปดูรายการตีสิบที่เข็มให้สัมภาษณ์ไม่ได้ใส่--ทั้งที่ทั้งสองสถานที่ไม่มีความจำเป็นต้องใส่แว่นกันแดดทั้งคู่) เราว่าแว่นกันแดดในกรณ๊นี้เป็นอะไรมากกว่าแว่นกันแดดอ่ะ :P