Tuesday, May 31, 2011

ไดโซ






...






ไดโซ - ร้านขายสินค้าทุกอย่างราคาเดียว 60 บาท คือแบบจำลองของโลกเทคโนโลยีในอุดมคติ


ร้านแห่งนี้กระจายตัวไปเปิดสาขาตามศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ โดยส่วนตัวผมเองก็ชอบเข้าไปเดินเล่นแทบทุกครั้งที่ผ่านไปเจอ ถ้ามีโอกาสและมีเวลาว่างเหลือเฟือ มันเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการฆ่าเวลา ผมเชื่อว่าเราทุกคนสามารถใช้เวลาอยู่ในร้านค้าที่มีขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตรแห่งนั้นได้อย่างน้อยๆ ก็เกินครึ่งวัน


แตกต่างจากร้านเสื้อผ้าที่เราเข้าไปเดินหยิบจับเสื้อขึ้นมาลอง 2-3 ตัวแล้วก็เดินออกภายใน 10-20 นาที แตกต่างจากร้านกาแฟเก๋ๆ ที่เราเข้าไปนั่งเก๋ๆ ได้สัก 2-3 ชั่วโมงก็รู้สึกเมื่อยก้น เมื่อยหลัง และปวดปัสสาวะเต็มทนแล้ว


อะไรที่ทำให้ร้านไดโซดึงดูดเรามากกว่า?


คำตอบไม่ใช่เรื่องราคา มันไม่ได้อยู่ที่การตั้งราคาสินค้าทุกอย่างราคาเดียว 60 บาท แต่เราต้องขุดลงไปในจิตใจของเราให้ลึกกว่านั้นจึงจะพบ ว่าคำตอบที่แท้จริงคือ "เทคโนโลยี"


Technology is the making, usage and knowledge of tools, techniques, crafts, systems or methods of organization in order to solve a problem or serve some purpose. - Wikipedia


ตะขอติดกาวเอาไว้แปะผนังเพื่อเกี่ยวสายไฟหลังชุดโฮมเธียเตอร์ไม่ให้รกรุงรัง ที่กั้นประตูกับกำแพงห้องน้ำไม่ให้กระแทกกันตอนเปิด-ปิด กุญแจล็อกตู้โชว์ไม่ให้เด็กในบ้านมาเปิดเล่น ฟองน้ำเอาไว้บุขอบโต๊ะและเก้าอี้ป้องกันไม่ให้เด็กทารกคลานมากระแทก แผ่นฉนวนกันร้อนเอาไว้วางของร้อนบนหลังเตาไมโครเวฟ แผ่นเจลเอาไว้รองส้นรองเท้าให้นิ่มใส่สบาย ไม้แขวนเสื้อแบบพับเก็บได้เอาไว้ใช้ในเดินทาง หรือแม้กระทั่งผงเคมีโรยไว้เพื่อกันไม่ไห้แมวข้างบ้านมาแอบฉี่ ฯลฯ


เมื่อเดินเข้าไปในร้านไดโซ รอบตัวของเราจะถูกห้อมล้อมไปด้วยสินค้าเหล่านี้มากมายนับร้อยนับพัน ... ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่านับพันนับหมื่น ...


... ไม่ใช่สิ! มันต้องมีมากกว่านั้นเป็นหมื่นเป็นแสน ...


หรืออาจจะเป็นล้าน!


มันท่วมท้นมากมายจนนับไม่ถ้วน เหมือนเส้นผมบนหัวของเรา เหมือนเกล็ดน้ำตาลในถ้วยเครื่องปรุง เหมือนเม็ดทรายที่ชายหาด เหมือนดวงดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน เหมือนระบบจำนวนจริงที่แจงนับไม่ได้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ไม่สามารถล่วงรู้ขอบเขตและไม่มีทางเข้าถึงความหมาย


ชั้นวางสูงตระหง่านท่วมหัวท่วมหูอยู่ตรงหน้า มีสินค้าแขวนและตั้งวางอย่างผสมปนเป คละเคล้า กระจัดกระจาย มองหารูปแบบใดๆ ไม่พบ ยิ่งสร้างความรู้สึกพิศวงงงงวย เหมือนกับเรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับจักรวาลที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด


เหมือนกับเรากำลังควานมือเข้าไปในกระเป๋ามิติที่ 4 ของโดราเอม่อน แล้วล้วงของวิเศษข้างในนั้นออกมาชื่นชมอย่างตื่นเต้นชิ้นแล้วชิ้นเล่า


"ตะขอติดกาวเอาไว้แปะผนังเพื่อเกี่ยวสายไฟหลังชุดโฮมเธียเตอร์ไม่ให้รกรุงรัง!" น้ำเสียงอันคุ้นเคยของโดราเอม่อน บอกชื่อของวิเศษที่เพิ่งหยิบออกมา ภาพโคลสอัพไปที่ชิ้นนี้ โดยมีแสงสว่างวิ้งๆ ฉายออกมารอบตัวมัน


สินค้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในร้านส่วนใหญ่ทำมาจากพลาสติกหลากสีสัน ตั้งราคาไว้ชิ้นละ 60 บาทเท่ากันหมด พวกมันคือเครื่องไม้เครื่องมือที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างล้ำลึก อย่างที่ไม่มีใครเคยคาดคิดถึงมาก่อน พวกมันคือ Tools, Applications, Solutions, Gadgets หรืออะไรก็ตามที่โลกสมัยใหม่ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะสรรหาคำศัพท์มาใช้เรียกพวกมัน


โดยรวมแล้วมันคือวัตถุแห่งเทคโนโลยี ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ และทำให้ชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ในร้านไดโซมีวัตถุแห่งเทคโนโลยีทุกอย่างที่เราต้องการ ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าเราต้องการ โลกของเทคโนโลยีในอุดมคติเป็นเช่นนี้เอง เมื่อเทคโนโลยีรุดหน้าไปมากจนถึงจุดนั้น มันจะล่วงรู้ความต้องการของเราก่อนตัวเราเองเสียอีก และมันถึงขั้นที่จะคอยกำหนดว่าชีวิตของเราต้องการอะไร


ความดึงดูดของร้านไดโซจึงอยู่ที่การเปิดให้เราเข้าไปเดินเล่นนานแค่ไหนก็ได้ตามแต่ใจ ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อค้นหาสินค้าต่างๆ เท่านั้น เรายังได้ค้นความต้องการของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าตัวเราเองจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนี้เราต้องการอะไร เราก็จะสามารถพบมันได้ในราคาเพียง 60 บาทต่อชิ้น


ในโลกยุคสมัยที่เทคโนโลยีเจริญรุดหน้าไปเต็มที่ ผู้คนและสังคมอิ่มตัวไปด้วยเทคโนโลยี เราจึงต้องการเทคโนโลยีทุกอย่าง เพื่อจะมาช่วยทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าเรากำลังทำงานนั้นอยู่ หรือกำลังอยากจะทำงานนั้น หรือไม่เคยทำงานนั้นมาก่อน หรือแม้กระทั่งไม่เคยคิดว่าจะทำงานนั้น แต่เราก็ต้องการเทคโนโลยีมากมายทุกสิ่งอย่างมาเก็บไว้เพื่อความอุ่นใจ


ร้านค้าแห่งยุคสมัยของเรา สปอยล์เราด้วยเทคโนโลยี ลูกค้าส่วนใหญ่หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ ภายในบรรจุไปด้วยเทคโนโลยีมากมายหลายหลาก เดินออกจากร้านไปด้วยรอยยิ้มอันชื่นมื่น จินตนาการไปถึงชีวิตที่สุขสมบูรณ์ สะดวกสบาย ไม่มีปัญหาอะไรมาแผ้วพานอีกแล้ว


ก่อนที่จะพบว่าเมื่อกลับถึงบ้านไป เมื่อเปิดถุงออกมาแล้วเขาพบแต่วัตถุทำจากพลาสติกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่ใช้งานได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เหมาะสมบ้าง ไม่เหมาะสมบ้าง หรือแม้แต่มีบางชิ้นที่จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตนเองซื้อมาเพื่ออะไร


เมื่อออกจากร้านไดโซ เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา วัตถุเหล่านั้นบางครั้ง บางชิ้น กลับกลายเป็นเพียงเศษพลาสติกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีความหมาย ไม่มีเหตุผล ไม่มีวัตถุประสงค์


เพราะแท้จริงแล้ว ในจักรวาลไดโซ สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นและดำรงอยู่แบบสุ่ม มีเพียงการรับรู้และจินตนาการของเราแต่ละคนเท่านั้น ที่จะปรุงแต่งความหมาย เหตุผล และวัตถุประสงค์ของสรรพสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา


เมื่อบริบทต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานที่และเวลา ทำให้ความหมายใดๆ ก็ล้วนไหลเลื่อน เรื่อยเปื่อย สูญสลาย


ร้านไดโซก็เป็นเหมือนสวนสนุกแดนเนรมิต มันคือ Pseudo Place สถานที่เทียม โลกเสมือน จักรวาลแห่งจินตนาการ สถานที่แบบนี้เปิดให้เด็กๆ ได้เข้าไปใช้จินตนาการของตัวเอง เพื่อสร้างซินเดอเรลล่า สโนว์ไวท์ ไลอ้อนคิง ฯลฯ ให้กลายเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม พอมืดค่ำพ่อแม่ก็ต้องลากตัวกลับบ้านมา ตัวการ์ตูนเหล่านั้นก็เป็นเพียงความทรงจำที่ดีในวัยเด็ก


ร้านไดโซก็เป็นเหมือนกับศูนย์การค้าฟอร์จูนหรือพันธุ์ทิพย์ สำหรับพ่อบ้านแม่บ้านก็เข้าร้านไดโซเพื่อมองหาเครื่องใช้สำหรับภายในบ้าน สำหรับคนหนุ่มสาวยุคดิจิตอลก็ไปเดินฟอร์จูนหรือพันธุ์ทิพย์ เพื่อมองหาแกดเจ้ทรุ่นใหม่ล่าสุด เร็วที่สุด ฮิปที่สุด เราไปเดินฟอร์จูนหรือพันธุ์ทิพย์ แล้วก็จินตนาการถึงแกดเจ้ทต่างๆ ว่าจะบันดาลชีวิตแบบดิจิตอลไลฟ์สไตล์ให้กับเรา กล้อง พีดีเอ แทบเล็ท โน้ตบุค สมาร์ทโฟน ฯลฯ



นับร้อยนับพัน ... ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่านับพันนับหมื่น ...


... ไม่ใช่สิ! มันต้องมีมากกว่านั้นเป็นหมื่นเป็นแสน ...


หรืออาจจะเป็นล้านๆ !


เพียงแค่ชั้นวางซองเคสสำหรับใส่ iPhone 4 เพียงอย่างเดียว ยังสูงตระหง่านท่วมหัวท่วมหู มีเคสหลากรุ่น หลากสีสัน หลากคุณสมบัติ แขวนและตั้งวางอย่างผสมปนเป คละเคล้า กระจัดกระจาย มองหารูปแบบใดๆ ไม่พบ ยิ่งสร้างความรู้สึกพิศวงงงงวย เหมือนกับเรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับจักรวาลที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด


เราขลุกอยู่ในฟอร์จูนหรือพันธุ์ทิพย์ได้นานเป็นวันๆ เหมือนกัน จินตนาการไปถึงความหมาย เหตุผล และวัตถุประสงค์ของแกดเจ้ทแต่ละชิ้น แล้วก็หิ้วถุงใส่สินค้าแกดเจ้ทพะรุงพะรังกลับมาบ้าน


เราจินตนาการถึงโลกเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งโลกแบบนี้มีแค่เพียงในอุดมคติเท่านั้น


"ตะขอติดกาวเอาไว้แปะผนังเพื่อเกี่ยวสายไฟหลังชุดโฮมเธียเตอร์ไม่ให้รกรุงรัง!" น้ำเสียงคุ้นเคยของโดราเอม่อน บอกชื่อของวิเศษที่เพิ่งหยิบออกมา นึกภาพโคลสอัพของชิ้นนี้โดยมีแสงสว่างวิ้งๆ ฉายออกมารอบตัวมัน


เราสนุกตื่นเต้นเหมือนกับในวัยเด็ก ตอนที่ได้ไปยืนถ่ายรูปคู่กับซินเดอเรลล่าตัวจริงนั่นแหละ


เมื่อกลับมาถึงบ้าน แกะห่อออกมา มันคือพลาสติกสีขาวชิ้นเล็กๆ โค้งงอ มีกาวสองหน้าแปะอยู่ข้างหลัง นำไปแปะไว้บนผนังหลังเครื่องแอลซีดีจอยักษ์ เพื่อเอาสายไฟและสายสัญญาณต่างๆ มาพาดๆ ไว้


มันก็แค่นั้นเอง


พาดไปไว้ไดแค่สาย 2 เส้น ยังเหลืออีกตั้งหลายเส้นที่ยังรกรุงรังอยู่ หรือว่าเราต้องไปหาซื้อมันมาเพิ่ม หรือว่าเราต้องมองหาเทคโนโลยีใหม่มาแก้ปัญหานี้


ในจักรวาลของเทคโนโลยีทั้งปวง สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นและดำรงอยู่แบบสุ่ม มีเพียงการรับรู้และจินตนาการของเราแต่ละคนเท่านั้น ที่จะปรุงแต่งความหมาย เหตุผล และวัตถุประสงค์ของสรรพสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา


เมื่อออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้





...





Thursday, March 31, 2011

If all you have is a hammer, everything looks like a nail.

 


 



 


...




 เมื่อตอนกลางปีที่แล้ว ผมเห็นป้ายนี้แปะอยู่ตรงทางเดินภายในสถานีรถไฟฟ้าในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น คิดว่ามันน่ารักดี ก็เลยคว้ากล้องมาสแนปภาพเก็บเอาไว้



 จนกระทั่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้เห็นภาพข่าวชาวญี่ปุ่นผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ ยืนต่อคิวยาวเหยียดด้วยความอดทนและมีระเบียบวินัย เพื่อรอซื้ออาหารและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และยังเห็นภาพข่าวผู้บริหารโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดความเสียหาย ออกมาโค้งคำนับอย่างมีมารยาท เพื่อขอโทษขอโพยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ



 ทำให้ผมนึกถึงป้ายนี้ขึ้นมาอีกครั้ง



 มันคือป้ายรณรงค์การรักษามารยาทในรถไฟฟ้า เป็นภาพคนหนุ่มกำลังฟังเพลงจากเครื่องไอพอดเสียงดังมาก จนกระทั่งคนแก่ที่ยืนอยู่ติดกันในรถไฟฟ้า ต้องเอานิ้วอุดหูตัวเอง คนหนุ่มมองเห็นดังนั้น ก็เลยยอมลดวอลุ่มเสียงเครื่องไอพอดของตนเองลง



 เพียงแค่เสียงหงิงๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากหูฟัง ยังถือเป็นเรื่องมารยาทสำคัญที่คนญี่ปุ่นเขาใส่ใจ จนต้องทำเป็นป้ายมาแปะไว้ที่สถานีรถไฟฟ้า เห็นแบบนี้ก็เลยไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไมเมื่อเกิดภัยพิบัติร้ายแรงใหญ่โต ถึงขนาดที่ทั้งสังคมเกือบจะล่มสลายไปอยู่แล้ว คนญี่ปุ่นยังรักษาระเบียบวินัย สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบ และแสดงออกต่อกันอย่างมีมารยาท ตามที่เห็นในภาพข่าว 
 


 หลายคนให้เหตุผลว่านี่เป็นเพราะคนญี่ปุ่นมีสายเลือดบูชิโด เป็นเชื้อชาติที่มีความอดทนสูง และรักในเรื่องศักดิ์ศรีอย่างแรงกล้า ผมคิดว่านี่เป็นการให้เหตุผลแบบ Stereotype และ Racism มากเกินไป คือเหมารวมคนเชื้อชาติหนึ่งๆ ว่ามีคุณลักษณะหนึ่งๆ เหมือนกันไปหมดทุกคน



 จริงๆ แล้ว คนญี่ปุ่น 1 คน ไม่ได้มีความอดทนสูงกว่า ไม่ได้รักศักดิ์ศรีมากกว่าคนไทย 1 คนหรอกนะ ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เราจะได้เห็นข่าวคนไทยบางคน กรูกันเข้าไปยื้อแย่งน้ำมันปาล์มในดิสเคานต์สโตร์ น่าเอน็จอนาถเหมือนกับฝูงแร้งหิวโซ บินกรูกันไปรุมทึ้งซากศพเน่าเปื่อย หลายคนอธิบายภาพข่าวนี้ด้วยวลีฮิตของดาราตลกคนหนึ่ง ว่า Thailand Only! ซึ่งผมคิดว่านี่ก็เป็นคำอธิบายแบบ Stereotype และ Racism เช่นกัน 
 


 เพราะมนุษย์ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ล้วนไม่แตกต่างกัน แต่คำถามคือ อะไรล่ะ!? ทำให้คนไทยเรากรูกันเข้าไปแย่งซื้อน้ำมันปาล์ม แม้ว่าเราไม่ได้อดอยากขาดแคลนเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่คนญี่ปุ่นยังคงต่อคิวซื้ออาหารกันอยู่ได้ แม้ว่าบ้านเรือนทรัพย์สินของพวกเขาสูญสลายไปสิ้นแล้ว 
 


 คำตอบคือมุมมองที่เรามีต่อโลกรอบตัว คำถามต่อไป แล้วอะไรล่ะ!? ที่เป็นตัวกำหนดมุมมองที่เรามีต่อโลกรอบตัว



 คำตอบนั้นใกล้ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ มันคือเทคโนโลยี 
 


 อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายความว่า เป็นเพราะประเทศญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีเหนือกว่าประเทศไทย เขาจึงมีระเบียบวินัยมากกว่าเรา อีกทั้งคำว่า "เทคโนโลยี" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างสมาร์ทโฟน แทบเล็ท 3G หรือบรอดแบนด์ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ 
 


 ลองนึกถึงฉากหนึ่งที่อยู่ในหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey ของสแตนลี่ย์ คูบริค ลิงตัวแรกที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ เริ่มรู้จักหยิบจับท่อนกระดูกสัตว์ขึ้นมากวัดแกว่งไปมาเป็นอาวุธ แล้วก็ขว้างมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพตัดฉับ! กลายเป็นยานอวกาศที่กำลังล่องลอยคลอด้วยเสียงเพลง The Blue Danube 
 


 ฉากนี้แหละ! ที่รวบรวมเอาเทคโนโลยีทุกสิ่งอย่าง ทุกยุคสมัยของมนุษย์ มาเสนอไว้ภายในเพียงพริบตาเดียว



 ตั้งแต่ไฟ ล้อ กระดาษ หูกทอผ้า แท่นพิมพ์ เครื่องจักรไอน้ำ รถไฟ รถยนต์ ฯลฯ เรื่อยมาจนถึงไมโครชิป คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งค้อน



 "If all you have is a hammer, everything looks like a nail." 
 


 "ถ้าคุณมีเพียงแค่ค้อน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเป็นตะปูสำหรับคุณ" คำกล่าวของอับลาฮัม มาสโลว์ นักจิตวิทยาชื่อดัง สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่เราใช้ เป็นสิ่งที่กำหนดมุมมองของเราเอง 
 


 พระไพศาล วิสาโล เขียนบทความไว้ในหนังสือเรื่อง "สถานะและชะตากรรม ของมนุษย์ในยุคคอมพิวเตอร์" ว่าเทคโนโลยีทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่เป็นกลาง หลายคนหลงคิดว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงวัตถุที่เรานำมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ จนมีหลายคนชอบพูดว่าเทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน ว่าจะนำมาใช้งานอย่างไร ใช้ในทางดีหรือในทางร้าย



 แต่แท้จริงแล้ว เทคโนโลยีไม่ได้มาวางอยู่บนโลกเราแบบไร้เดียงสาเช่นนั้น มันเกิดมาพร้อมวัตถุประสงค์ และพร้อมกับระบุวิธีการใช้งาน นั่นหมายความว่ามนุษย์ผู้สร้างได้ใส่คุณค่าและมุมมองของตนเองเข้าไปในเทคโนโลยีนั้นแล้ว เมื่อตกมาอยู่ในมือของมนุษย์ผู้ใช้ การที่เราจะใช้งานมันได้ เราต้องยอมสมาทาน รับเอาคุณค่าและมุมมองนั้นมาใส่ตัวเสียก่อนด้วย และเมื่อใช้ไปนานๆ เข้า เทคโนโลยีก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและกำหนดตัวผู้ใช้นั้นโดยที่เขาอาจจะไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว



 ป้ายรณรงค์การรักษามารยาทในรถไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็น ถึงมุมมองที่คนญี่ปุ่นมีต่อโลกรอบตัวพวกเขา ซึ่งมุมมองเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะเทคโนโลยีรถไฟฟ้าเป็นตัวกำหนด



 รถไฟฟ้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่รถไฟฟ้า แต่มันเป็นเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับมุมมองในเรื่องความเท่าเทียมกัน ระเบียบวินัย และการอยู่ร่วมกัน



 ถึงแม้สังคมญี่ปุ่นจะมีการต่อสู้แก่งแย่งแข่งขันกันสูง ผู้คนมีความเคร่งเครียดจนสถิติการฆ่าตัวตายสูงมาก แต่การที่พวกเขาต้องเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ในรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะร่วมกันในชีวิตประจำวันทุกวันๆ ทำให้พวกเขามีมารยาท รักษาระเบียบวินัย และสามารถอยู่ร่วมกันในขบวนรถได้อย่างปลอดภัยจนถึงที่หมายปลายทางของแต่ละคน แม้ว่าในช่วงเวลาเร่งด่วน ผู้คนจะแออัดมากถึงขนาดที่ต้องให้พนักงานมาช่วยดันผู้โดยสารเข้าไปในขบวนรถ เพื่อจะได้ปิดประตูได้ 
 


 จากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาเรียนรู้ว่าการแก่งแย่งแข่งขัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน เอารัดเอาเปรียบ หรือรบกวนผู้อื่นในที่สาธารณะ จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่แออัดอยู่แล้วนั้น ยิ่งยากลำบากมากขึ้น ทั้งต่อคนอื่นและต่อตนเอง เขาจึงหันมาให้ความร่วมมือกัน เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย ใครที่ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้มากกว่า ก็จะได้รับการยอมรับ มีโอกาสอยู่รอด ได้สืบเผ่าพันธุ์ และปลูกฝังลูกหลานของตนเอง ให้รู้จักให้ความร่วมมือกับผู้อื่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ 
 


 แตกต่างจากประเทศไทยเรา ที่เพิ่งมีรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เพียงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง ระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ นอกจากนั้นต่างก็ง่อยกระรอกแทบทั้งหมด รวมถึงระบบขนส่งทางรางทั่วประเทศอย่างรถไฟ ก็ล้าสมัย ชำรุด และขาดประสิทธิภาพ จนพึ่งพาอะไรไม่ได้ คนไทยทั้งประเทศต้องหนีไปใข้เทคโนโลยีรถยนต์ ทั้งรถส่วนตัว รถเมล์ รถทัวร์ หรือแม้กระทั่งจักรยานยนต์



 และก็แน่นอนว่า ... รถยนต์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รถยนต์ 
 


 เวลาเรานั่งอยู่ในรถไฟฟ้า เรายังได้เห็นหน้าเห็นตาคนอื่นรอบๆ ตัว ได้กลิ่นเนื้อตัวของเขา ได้แชร์อากาศหายใจร่วมกัน ได้สัมผัสถึงความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แต่เวลาเรานั่งอยู่ในรถยนต์ เรามองเห็นเพียงแค่แผ่นเหล็กของรถคันอื่น



 รถยนต์เป็นเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับมุมมองในแบบปัจเจก ผู้ใช้ต้องแยกตัวออกจากผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ระบบปรับอากาศทำให้เราไม่สนใจสภาพมลพิษบนท้องถนน ระบบเครื่องเสียงทำให้เราบันเทิงเริงรมย์อยู่ในโลกส่วนตัว ระบบเครื่องยนต์ทำให้เราพุ่งทะยานไปข้างหน้าแบบตัวใครตัวมัน เครื่องยนต์ของใครแรงกว่า ก็ไปได้ไกลกว่า แซงได้เร็วกว่า ปรู้ดปร้าดทันใจมากกว่า



 จากรุ่นสู่รุ่น พวกเราเรียนรู้ว่ารถคันอื่นล้วนเป็นคู่แข่ง คนข้ามถนนคือสิ่งกีดขวาง คนขี่จักรยานคือคนที่รนหาที่ตายเอง ต้นไม้บนเกาะกลางถนนน่าจะตัดทิ้งไปเสีย จะได้เอามาทำถนนเพิ่มอีก 1 เลน พื้นที่ว่างเปล่า หรือแม้กระทั่งวัดวาอาราม ก็ถูกนำมาทำเป็นที่จอดรถทั้งหมด



 เรามองไม่เห็นมนุษย์คนอื่น มองไม่เห็นโลกรอบตัว มองเห็นแต่กล่องเหล็กมากมายที่เป็นคู่แข่ง



 ในสังคมที่มีมุมมองแบบนี้ คนแก่งแย่งได้มากกว่า ก็จะได้รับการยอมรับ และมีโอกาสอยู่รอดต่อไป ได้สืบเผ่าพันธุ์ และปลูกฝังลูกหลานของตนเองให้แก่งแย่งเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าเราจะได้เห็นคนไทยบางคนขับรถแข่งกันไปแข่งกันมา จนสุดท้ายต้องคว้าปืนขึ้นมายิงใส่กัน หรือคนไทยบางคนขับรถชนคันอื่นจนตกจากทางด่วนลงมาตายเกือบทั้งคัน



 ในสังคมสมัยใหม่ การคมนาคม เดินทาง ขนส่ง คือมิติที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตประจำวัน เพราะเราไม่ได้มีระบบเศรษฐกิจและระบบการผลิตแบบอยู่กับที่ แต่เราอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบแลกเปลี่ยน หมุนเวียน และเรามีระบบการผลิตขนาดใหญ่ที่ต้องมีเคลื่อนย้ายแรงงานและวัตถุดิบตลอดเวลา ในแต่ละวัน เราต้อใช้เวลากับการเดินทางมากพอๆ กัน หรือมากกว่าเวลาที่เราเอาไปทำกิจกรรมอื่นๆ เสียอีก



 เทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อมุมมองของเราทุกคนมากที่สุด จึงได้แก่เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการคมนาคม



 การที่เราไม่มีระบบขนส่งสาธารณะให้ใช้งาน มีแต่เพียงทางด่วนที่ฉวัดเฉวียนอยู่เต็มท้องฟ้ากรุงเทพฯ และถนนคอนกรีตเสริมเหล็กที่ตัดเข้าไปถึงชนบททุรกันดารเพียงเพื่อให้ควายเดิน นี่ก็เท่ากับบีบให้คนไทยทั้งประเทศต้องหันไปใช้รถยนต์ และสมาทานเอาคุณค่าและมุมมองแบบตัวใครตัวมันมาใช้ ซึ่งแน่นอนว่าเราเอามันมาใช้กับมิติอื่นๆ ของชีวิตด้วย



 ไม่ต้องแปลกใจ ที่ในมิติอื่นๆ ของชีวิต เราก็แก่งแย่งแบบเดียวกันนี้ เราจึงได้เห็นคนไทยแย่งกันซื้อน้ำมันปาล์มเหมือนแร้งลง ทั้งที่เราไม่ได้หิวโหยแต่อย่างใด หรือเมื่อเห็นรถกระบะพลิกคว่ำอยู่ข้างถนน คนไทยก็แห่กันเข้าไปปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองของผู้ประสบอุบัติเหตุ



 สีหน้าของคนไทยที่กรูกันเข้าไปแย่งชิง นั้นยิ้มแย้ม หัวเราะ พวกเขากำลังสนุกสนานและสะใจกับกิจกรรมการแย่งชิง เหมือนกับสีหน้าของคนไทยที่ขับรถฝ่าไฟแดงมาโดยไม่โดนตำรวจเรียก หรือไปแย่งปาดเข้าเลนขวาตรงคอสะพานได้สำเร็จ



 สีหน้าของคนญี่ปุ่นที่กำลังรอคิวซื้ออาหารหลังจากที่เพิ่งประสบภัยพิบัติ ก็เหมือนกับสีหน้าของตัวการ์ตูนในป้ายรณรงค์รักษามารยาทในรถไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นนั่นเอง มันเป็นสีหน้าของคนที่กำลังเสียใจและเกรงใจในเวลาเดียวกัน คนหนุ่มกำลังเสียบหูฟังเพลงอยู่เพลินๆ แล้วเหลือบไปเห็นคนแก่ข้างๆ กำลังอุดหู เขารีบลดวอลุ่มไอพอดของตนเองลงทันที โดยที่ไม่ต้องให้ใครร้องขอ ตักเตือน หรือบังคับ



 ผมไม่เชื่อว่าคนญี่ปุ่นจะดีเพราะมีสายเลือดบูชิโด และไม่เชื่อว่าคนไทยจะเลวเพราะมีสันดาน Thailand Only! ผมเชื่อว่าเราต่างก็ถูกกำหนดตามคุณค่าและมุมมองที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เราเลือกใช้ หรือถูกบังคับให้ใช้



 เราไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุด ดีที่สุด แพงที่สุด ล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นที่สุด แต่เราต้องการเทคโนโลยีที่ให้คุณค่าและมุมมองที่ถูกต้องแก่เรา เราจะได้เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ สัมผัสถึงความเท่าเทียมกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยไม่ต้องแย่งชิงหรือเอาชนะกันแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเพื่อความสะใจ



 ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้นไปกว่านี้ สิ่งที่ต้องเปลี่ยน คือรากฐานแก่นแท้ที่สุดของสังคม คือเทคโนโลยีนั่นเอง



 ...


 


 

Tuesday, March 01, 2011

ฝูงคนป่าสะพายบีบี

...


 



 ที่นั่งสุดท้ายที่เหลืออยู่บนรถเมล์ฟรีคันนี้ คือที่นั่งข้างๆ หญิงเร่ร่อนคนหนึ่ง


 ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ของเธอ ดูเหมือนเอาถุงของเหลวขนาดใหญ่หลายๆ ถุง มาวางกองซ้อนกันไว้ แผ่กว้างออกด้านข้างจนแทบเต็มเบาะ ผมเผ้าและเสื้อผ้าดูสกปรกมอมแมม และข้าวของสัมภาระมากมายพะรุงพะรัง วางเกะกะไว้รอบๆ ตัว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมที่นั่งตรงนี้ยังเหลืออยู่


 คุณเคยสังเกตหรือเปล่า? ในกรุงเทพฯ ช่วงนี้มีคนเร่ร่อนแบบนี้ให้เห็นมากขึ้นตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนรถเมล์ฟรี ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร ผมเดาว่าอาจจะตั้งแต่เมื่อกลางปีก่อน ตอนที่ทางกทม. สั่งปิดสนามหลวงเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหญ่


 คนที่ไม่มีบ้านให้กลับ และไม่มีออฟฟิศให้ไป ไม่มีใครที่กำลังรอคอย และไม่มีใครให้คิดถึง ผมเดาไม่ออกเลย ว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาของคนเหล่านี้ จะต้องผ่านเรื่องราวเลวร้ายอะไรมาบ้าง


 ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ นั้นโชคดีกว่ามาก เพราะนอกจากบ้านและที่ทำงาน เรายังมี The Third Place เช่นร้านกาแฟหรือศูนย์การค้า เพื่อให้ไปนั่งหายใจทิ้งหรือเดินเล่นเตร็ดเตร่ แต่สำหรับคนเร่ร่อนเหล่านี้ที่ไม่มีเงินมากพอจะจ่ายค่ากาแฟร้อนแก้วละร้อยกว่าบาท และไม่มีสภาพร่างกายที่น่าพิศมัยในสายตาของฝูงชน


 พวกเขาจึงต้องมาอาศัยหลบอยู่บนรถเมล์ฟรีแบบนี้ โดยไม่ได้ใช้มันเป็น The Third Place หรอก พวกเขาไม่มี The First และ The Second Place เพราะในเมื่อไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดหมายปลายทาง การดำรงอยู่ ณ จุดพิกัดใดๆ จึงล้วนไร้ความหมาย และไม่มีความแตกต่างกัน


 ชีวิตต้องล่องลอยอยู่ท่ามกลางระหว่างทุกสถานที่


 คุณกำลังคิดอะไรอยู่? ผมเฝ้ามองเธอ และนึกสงสัยขึ้นมา อยากจะเอ่ยปากถาม


 เส้นผมของเธอปลิวไสวด้วยลมร้อนระอุจากท้องถนนภายนอก แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงเข้ามาปะทะใบหน้าอันหยาบกร้านของเธอ สายตาของเธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์อย่างเหม่อลอย


 ภาพนี้น่าจะโรแมนติก สวยงาม น่าเคลิบเคลิ้มดี เหมือนฉากนางเอกขับรถเปิดประทุนท่ามกลางสายลมและเปลวแดดบนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ในหนังแนว Road Movies บางเรื่อง


 เพียงแต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้โรแมนติกแบบนั้น กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากร่างกายและเสื้อผ้าของเธอ โชยอ่อนๆ มาปะทะจมูกผมซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา


 ผมเพิ่งสังเกตข้าวของสัมภาระมากมายของเธอ ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ เธอมีร่มเก่าๆ คันหนึ่ง พับเก็บและแขวนมันไว้กับราวจับตรงพนักพิงของเบาะด้านหน้า เธอมีถุงพลาสติกสีเขียวใบใหญ่จากห้างบิ๊กซี ซ้อนกันไว้ 4-5 ชั้นเพื่อเพิ่มความทนทาน เธอจึงใช้ประโยชน์มันได้แทบไม่ต่างกับกระเป๋าถือแอร์เมส พราด้า หรือหลุยส์วิตตอง โดยเกี่ยวมันไว้กับก้านร่มที่พับอยู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องวางบนตักให้หนักและเกะกะ


 ข้างในกระเป๋าถือสุดหรูของเธอนั้น ยังมีถุงพลาสติกใบเล็กๆ ยิบย่อยอยู่ภายในอีกหลายใบ ผมรู้เพราะเห็นเธอควักถุงพลาสติกเล็กใบเล็กๆ ออกมาใบหนึ่ง บรรจงแกะปมปากถุงที่มัดไว้อย่างแน่นหนา ข้างในนั้นเป็นถุงพลาสติกใสใส่ลูกชิ้นทอด เธอแกะหนังสติ๊กที่รัดปากถุงออก แล้วนำหนังสติ๊กเส้นเดียวกันนั้นมารัดเส้นผมยุ่งเหยิงที่กำลังปลิวไสว เพื่อไม่ให้เกะกะเลอะเทอะระหว่างการกินลูกชิ้นถุงนั้น


 เธอควานมือลงไปในแอร์เมสใบนั้นอีกครั้ง แล้วหยิบแท่งไม้เล็กๆ ออกมา ลักษณะคล้ายปากกาสไตลัส ที่เอาไว้ใช้จิ้มหน้าจอเครื่องพีดีเอสมัยก่อน ผมเดาว่ามันคือเศษตะเกียบไม้แบบใช้แล้วทิ้ง เธอนำมันมาหักให้สั้นลง ฝนปลายไม้ให้มีความแหลมเล็กน้อย แล้วเก็บไว้เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการกินอาหาร


 เธอจิ้มลูกชิ้นปิ้งขึ้นมากินพลาง มองวิวนอกหน้าต่างรถเมล์ฟรีไปพลาง คงมีความสุขไม่ต่างจากชนชั้นกลาง ที่ไปนั่งจิ้มชีสเค้กชิ้นละร้อยกว่าบาท อยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างร้านเบเกอรี่ชิคๆ ฮิปๆ แล้วเฝ้ามองคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมา เพียงแต่วิวบนรถนี้น่าจะตื่นตาตื่นใจกว่า


 เมื่อกินเสร็จ เธอยังใช้ประโยชน์จากสไตลัสแท่งนั้น ด้วยการนำมาแคะขี้ฟันต่อ ก่อนจะเช็ดปลายแหลมของมันกับชายเสื้อจนสะอาด แล้วหย่อนมันกลับเข้าไปเก็บที่่เดิม นับว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่สารพัดประโยชน์จริงๆ สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นอะไรเข้าไปใส่เพิ่มเลย


 หลังจากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำดื่มและผ้าขนหนูออกมา แล้วค่อยๆ รินน้ำใส่บนผ้า นำมาเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วก็เช็ดมือจนสะอาด ก่อนจะเก็บกวาดเศษอาหารที่หล่นบนเสื้อ ใส่กลับเข้าไปในถุงพลาสติก ถอดหนังสติ๊กที่มัดผมอยู่ออกมา นำกลับมามัดปากถุงให้สนิท แล้วทิ้งกลับเข้าไปในกระเป๋าถือใบเดิม เธอมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าบางคนที่กินแฮมเบอร์เกอร์ในร้านฟาสต์ฟู้ด แล้วไม่ยอมเก็บเศษขยะและเศษอาหารไปทิ้งลงถังเมื่อจะออกจากร้าน


 หลังจากนั้นตลอดทางที่นั่งเคียงข้างเธออยู่บนรถเมล์ฟรีคันนี้ ผมได้รับความเพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก จากการเฝ้าดูเธอหยิบจับข้าวของสารพัด ของกิน ของใช้ ยาดม ยาอม ยาหม่อง ขนม น้ำดื่ม แว่นตา ผ้าปิดปาก ฯลฯ เข้าๆ ออกๆ จากกระเป๋าถือสุดหรูใบนั้น


 ทุกกิจกรรมการเคลื่อนไหวล้วนจำกัดอยู่ในวงรัศมีแคบๆ รอบตัวเธอ ระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบกระแทก หรือรบกวนผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียง เหมือนกับในวันเสาร์-อาทิตย์ พวกเราชอบไปนั่งงอก่องอขิง เบียดเสียดกันแบบไหล่ชนไหล่ อยู่ในร้านกาแฟเก๋ๆ แล้วก็ควัก iPad ขึ้นมาเล่นเกมนกไร้สาระหรือออนไลน์เฟซบุคเพื่อโชว์คนรอบข้าง The Third Place เหล่านี้แปรสภาพกลายเป็นสลัมของชนชั้นกลาง โดยไม่เห็นมีใครปริปากบ่น


 ผมคิดว่าเธอไม่แตกต่างจากพวกเรา ที่เป็น Gadget Freak ในยุคสมัยแห่ง Digital Nomad สักเท่าไรหรอก


 เพียงแต่เธอเป็นคนที่จำเป็นต้องเร่ร่อนจริงๆ และแกดเจ้ททั้งหลายของเธอไม่มีราคาค่างวด ไม่มีวงจรไฟฟ้าอยู่ภายในเท่านั้นเอง ในขณะที่พวกเราต้องพกแกดเจ้ทเป็นอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ราคาแพงลิ่้ว เพื่อที่จะได้หนีออกจากบ้านและที่ทำงานเป็นครั้งคราว แล้วมาเร่ร่อนกันแบบขำๆ อยู่บนเครือข่ายการสื่อสารในยุคดิจิตอล


 ในวิถีแห่งการเร่ร่อน ไม่ว่าในโลกยุคดึกดำบรรพ์ของพวกชนเผ่าโบราณ หรือในโลกยุคดิจิตอลของพวกเรา กฎกติกาย่อมไม่แตกต่างกัน ความอยู่รอดปลอดภัยนั้นขึ้นอยู่กับการรักษาเกียรติของตัวเองและเคารพศักดิ์ศรีของผู้อื่น ส่วนความกินดีอยู่ดีก็ขึ้นอยู่กับการเข้ายึดครองจุดพิกัดหนึ่งๆ เอาไว้ได้เพียงชั่วคราว อาจจะเป็นท้องทุ่งหญ้าเอาไว้เลี้ยงสัตว์ หรือเก้าอี้โซฟานุ่มๆ ในร้านกาแฟ หรือเบาะแข็งๆ บนรถเมล์ฟรี เพื่อทำมาหากิน ทำภารกิจอะไรสักอย่างให้เสร็จสิ้น ก่อนจะละทิ้งมันไว้เบื้องหลัง เพื่อออกเดินทางเร่ร่อนต่อไป


 แกดเจ้ทคือสิ่งสำคัญในวิถีแห่งการเร่ร่อน มันคือการควบแน่นเทคโนโลยียิ่งใหญ่ มาสู่อุปกรณ์ขนาดเล็กมากพอที่คนเราพกพาติดตัวได้ มันช่วยให้คนเร่ร่อนเอาชีวิตรอดอยู่ได้ ท่ามกลางความโหดร้ายของผู้คน และความแร้นแค้นของโลกในระหว่างการเดินทาง


 นับตั้งแต่หินเหล็กไฟที่พกใส่กระเป๋าไว้เพื่อใช้ก่อกองไฟ ผ้าขาวม้าและมีดพร้าที่เป็น Mulitools เหมือนกับมีดพกสวิส มันเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่ผู้ใช้สามารถพลิกแพลง ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายตามแต่สถานการณ์


 เรื่อยมาจนถึงสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กๆ บนฝ่ามือ ที่เราใช้ทำงานได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โทรศัพท์ จดบันทึก แชท เช็คอีเมล์ ถ่ายรูป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม เล่นเฟซบุค ทวิตเตอร์ ฯลฯ มันเป็นได้แม้กระทั่งไม้บรรทัดเล็กๆ ถ้าคุณหาโหลดแอพพลิเคชั่นมาใส่เข้าไป


 ถ้าหญิงเร่ร่อนคนนี้มีสมาร์ทโฟนสักเครื่องอยู่ในมือ เธออาจจะอยากบอกเล่าความคิดและความรู้สึกในขณะนี้ ด้วยการอัพเดตสเตตัสใส่เฟซบุค


 คุณกำลังคิดอะไรอยู่? ผมเฝ้ามองเธอ และนึกสงสัยขึ้นมา อยากจะเอ่ยปากถาม


 "เทคโนนะคะ ... เทคโน" กระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกป้ายที่เรากำลังจะไปถึง


 เด็กนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่เบาะสุดท้ายของรถเมล์ ทะยอยลุกขึ้นมาเตรียมตัวลงจากรถ


 หญิงเร่ร่อนก็เตรียมลงจากรถด้วยเช่นกัน เธอเก็บกระเป๋าถือสุดหรูและร่มของเธอ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ร่างกายใหญ่ยักษ์เหมือนถุงของเหลวกองทับซ้อนกัน ค่อยๆ ขยายตัวสูงขึ้่นไปในแนวตั้ง ผมเอี้ยวตัวหลบให้เธอค่อยๆ เดินโขยกขเยกออกไป กระเป๋ารถเมล์หันมามองเธอด้วยสายตาเอือมระอา เด็กนักศึกษากลุ่มใหญ่เตรียมแหวกทางให้เธอเดินผ่านไปด้วยสายตาที่รังเกียจ


 ทุกครั้งที่ผ่านมาแถวเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ บริเวณถนนพิบูลสงครามตัดกับสะพานพระรามเจ็ด ผมมักจะใช้แอพฯ Foursquare ที่โหลดใส่สมาร์ทโฟนเอาไว้ เพื่อเช็คอินพิกัดตำแหน่งจุดหนึ่ง


 มีคนตั้งชื่อไว้ว่า "ฝูงคนป่าสะพายบีบี"


 คงเป็นอาจารย์หรือนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์สักคน ที่มีวรรณศิลป์และอารมณ์ขัน เขาเสียดสีสังคมร่วมสมัยที่เปี่ยมไอทีนี้ได้อย่างน่ารัก ด้วยการตั้งชื่อพิกัดตำแหน่งนี้ลงไปในแอพพลิเคชั่นยอดนิยมของชาว Digital Nomad


 ในโลกยุคดิจิตอล สถานที่จริงและสถานที่เสมือนซ้อนทับกันอยู่อย่างสลับซับซ้อน คนเร่ร่อนอย่างเธอและอย่างพวกเรา ต่างก็สะพายแกดเจ้ทของตนเอง เพื่อล่องลอยอยู่ในท่ามกลางระหว่างทุกสถานที่


 หลังจากที่สนามหลวงปิดปรับปรุงภูมิทัศน์ ผมเดาว่าเธอคงต้องย้ายมาอาศัยนอนอยู่ใต้สะพานใหญ่ๆ อย่างสะพานพระรามเจ็ด เพราะบริเวณนั้นมีสวนสาธารณะและลานกว้าง


 ไม่มีใครอยากเร่ร่อนจริงๆ หรอก ถ้าชีวิตเขามีทางเลือกมากกว่านี้ ใครๆ ก็อยากมีที่ทางสักที่ ให้ชีวิตนี้ได้ลงหลักปักฐาน Settle Down กับใครสักคน


 นอกจากพวกฝูงคนป่าสะพายบีบี หรือ Digital Nomad ที่ชอบเร่ร่อนแบบขำๆ


 ในขณะที่คนอย่างเธอไม่มีทางเลือก


 เธอไปยืนอยู่ริมถนนเพื่อรอข้ามถนน แน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ เธอเดินขึ้นสะพานลอยไม่ไหวหรอก ในมือยังถือกระเป๋าสุดหรูและร่มคันนั้นเอาไว้


 รถเมล์ฟรีค่อยๆ เคลื่อนที่ต่อไปช้าๆ ชีวิตเร่ร่อนของผมยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง สมาร์ทโฟนและแอพฯ Foursquare ยังถืออยู่ในมือ


 เราพยายามบอกตัวเองว่ามีอะไร ด้วยข้าวของที่มีในมือ แต่ในความจริงแล้ว เราไม่มีอะไรเลย


 


...


 


 

Wednesday, February 02, 2011

นกสีแดง


...


 


 นกแต่ละตัวเกิดมาแตกต่างกัน มีวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน พวกมันมายืนเรียงแถวหน้ากระดานในตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง ด้วยเหตุผลที่ถูกกำหนดไว้แล้ว


 เกม Angry Birds นั้นแท้จริงแล้วคือแบบจำลองของจักรวาล โดยที่บรรดาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ หมูใจร้าย และนกขี้โมโหทุกๆ ตัว ที่มาอยู่ร่วมกันในแต่ละเลเวล คือรูปแบบความสัมพันธ์อันเกี่ยวโยงกันของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่มีใครสักคนเป็นผู้สร้าง และเขาคนนั้นได้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่ต้น


 และพวกเราทุกคนในฐานะผู้เล่น จึงมีความสนุกสนานท้าทายกับการค้นหาคำตอบของคำถาม ว่า "ทำไม?"


 ผมชอบเล่นเกม Angry Birds เล่นแบบเอาจริงเอาจัง เล่นกันข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว ตัวคาแรกเตอร์ที่ผมชอบมากที่สุด คือตัวนกสีแดง


 ต้องสังเกตให้ดีๆ จึงจะเห็นว่านกสีแดงมี 2 แบบไม่เหมือนกัน คือนกสีแดงตัวเล็กและตัวใหญ่ นกสีแดงตัวที่ผมชอบคือนกสีแดงตัวเล็กที่ถูกใช้เป็นภาพโลโก้ของเกมนี้ เราทุกคนจะได้รับมันมาตั้งแต่ตอนเริ่มเล่นเลเวลแรกสุด และมีให้เราเล่นได้แม้แต่ในเวอร์ชั่นดาวน์โหลดฟรี มันเป็นนกที่เรียบง่ายที่สุด คือไม่มีความสามารถพิเศษอะไร มันทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการลอยตามแรงของหนังสติ๊ก แล้วไปพุ่งชนเหล่าหมูแบบลุ่นๆ ทื่้อๆ


 แตกต่างจากนกตัวอื่นๆ ที่ล้วนมีความสามารถพิเศษเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นนกสีแดงอีกตัวที่เป็นตัวใหญ่ มันมีน้ำหนักมากและแข็งแรง เราสามารถยิงมันไปกระแทกสิ่้งปลูกสร้างให้ถล่มลงมาได้โดยง่าย นกสีเหลืองมีความเร็วสูงและมีจงอยปากแหลมคม เราสามารถยิงให้มันทะลุทะลวงน้ำแข็ง กระจก และแผ่นไม้ นกสีดำสามารถกลายสภาพเป็นระเบิด เมื่อไปกระแทกอะไรๆ ชนวนระเบิดจะถูกจุดขึ้นทันที นกสีเขียวบินได้เหมือนบูมเมอแรง จึงเหมาะที่จะให้มันบินอ้อมไปกวาดทำลายจากทางด้านหลัง นกสีขาวตัวอ้วนกลมเพราะมันมีไข่ประทัดยักษ์อยู่ภายใน และสุดท้ายคือนกสีฟ้าที่สามารถแตกกระจายออกเป็น 3 ตัวย่อยๆ สามารถใช้งานได้เหมือนกับกระสุนแบบลูกปราย


 เหล่านกขี้โมโหที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ วัตถุประสงค์ของชีวิตพวกมันจะแจ่มชัดเสียเหลือเกิน เมื่อผู้เล่นมีความชำนาญมากขึ้น ก็จะสามารถบังคับควบคุมพวกมัน และเลือกใช้งานไปตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะดีใจ เมื่อเริ่มต้นเลเวลใหม่แล้วเห็นว่ามีนกพิเศษเหล่านี้ยืนปะปนอยู่กันเยอะๆ เพราะเราจะรู้ได้ทันทีว่าน่าจะสามารถผ่านเลเวลนี้ไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย


 ในทางตรงกันข้าม ถ้าเริ่มต้นเลเวลใหม่ แล้วเห็นว่ามีนกสีแดงตัวเล็กปะปนอยู่ด้วย ผู้เล่นมักจะรู้สึกพิศวงงงงวย และเริ่มวิตกกังวลว่าเราคงไม่สามารถผ่านเลเวลไปได้ง่ายๆ เสียแล้ว


 เพราะนกสีแดงไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษใดๆ เมื่อแตะหน้าจอในระหว่างที่พวกมันบินอยู่กลางอากาศ มันไม่ได้แปลงร่างเป็นอะไร ไม่ได้ปล่อยระเบิด ไม่ได้เพิ่มความเร็ว ไม่ได้ทำอะไรเลย มันเพียงแค่ล่องลอยไปอย่างนั้น จนกระทั่้งไปตกกระทบใส่เป้าหมายเพียงเบาๆ เราจึงมองไม่เห็นวัตถุประสงค์การใช้งาน และไม่รู้เหตุผลว่าทำไมมันต้องมาร่วมยืนเรียงหน้ากระดานกับนกตัวอื่นๆ อยู่ในเลเวลนี้ด้วย


 "เจ้านกสีแดงนี่มันทำอะไรไม่ได้เลยเนอะ ไม่รู้เค้าจะให้มาทำไม?" เพื่อนคนหนึ่งบ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หลังจากที่เธอเสียเวลาอยู่กับเลเวลนี้นานเป็นชั่วโมงๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเล่นผ่านไปได้เสียที


 ถ้านกสีแดงได้ยิน มันคงเสียใจแย่ และถ้ามันพูดภาษาคนได้ นอกจากแค่ร้อง "อา...อี๊...อ๊า..." มันก็อาจจะตัดพ้อกับชีวิตเหมือนกับนางเอกในหนังเรื่อง Memories of Matsuko ที่เธอพูดว่า "ขอโทษด้วยที่ฉันเกิดมา...ขอโทษด้วยที่ฉันเกิดมา..."


 "ไม่หรอก! เค้าต้องมีเหตุผลสิ และนกทุกตัวล้วนมีวัตถุประสงค์" ผมตอบเธอไปเป็นการให้กำลังใจ เพื่อให้เธอยังคงยืนหยัดต่อสู้กับเกมนี้ต่อไป


 จักรวาลของ Angry Birds น่าพิศวงงงงวย และคุณจะมองไม่เห็นหนทางออกจากความน่าพิศวงนี้ ถ้ามัวแต่คิดว่า Angry Birds เป็นเกมแนวแอคชั่น ที่เล่นได้ง่ายๆ ด้วยการยิงนกไปถล่มบ้านหมูแค่นั้น เพราะจริงๆ แล้ว Angry Birds เป็นเกมแบบ Puzzle ที่ผู้เล่นจะต้องลองผิดลองถูก ค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองศาของหน้าไม้หนังสติ๊ก และระดับความแรงของการยิงไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาคำตอบที่อาจจะมีอยู่เพียงแค่คำตอบเดียว และใช้มันเป็นทางออกจากเลเวลที่มีอยู่เพียงริบหรี่


 การเอาแต่พุ่งชนเป้าหมายจะไม่ได้ให้คำตอบอะไรเลย นอกจากความสะใจที่ได้ถล่มทลายสิ่งปลูกสร้างและฆ่าหมูใจร้ายไปเพียงไม่กี่ตัว ด้วยวิธีการนี้ คุณอาจจะผ่านเลเวลง่ายๆ ไปได้ ถ้าโชคดีที่ในเลเวลนั้นมีนกเก่งๆ อยู่หลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีนกสีดำที่แปลงร่างเป็นลูกระเบิดได้ คุณก็เพียงแค่ยิงมันพุ่งชนตรงไหนก็ได้ ปล่อยให้มันระเบิดตูม สิ่งปลูกสร้างจะล้มครืนลงมาทับหมูตายเป็นเบือ


 แต่ในเลเวลที่ยากๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าในเลเวลนั้นมีนกสีแดงปนอยู่ด้วย คุณจะใช้มันทำแบบเดียวกันนั้นไม่ได้ และจะผ่านไปไม่ได้เลย


 นกสีแดงเผยให้เห็นความน่าพิศวงงงงวยของจักรวาล โลก ชีวิต และสรรพสิ่งรอบตัว ถึงแม้มันจะเรียบง่าย ไร้ความสามารถพิเศษใดๆ ทั้งปวง แต่ขอให้เชื่อผมเถอะ! นกสีแดงตัวนี้คือแก่นแท้ คือสาระสำคัญของเกม Angry Birds มิเช่นนั้น ผู้สร้างคงไม่ให้ความสำคัญถึงขนาดที่นำมันมาเป็นภาพโลโก้ของเกมนี้หรอก


 ผู้สร้างต้องการจะบอกใบ้กับเราทุกคน ว่าจักรวาลนี้ โลก ชีวิต และสรรพสิ่งรอบตัว คือ Puzzle ขนาดใหญ่ยักษ์ ที่เราจะต้องหาคำตอบนั้นให้เจอ


 นกเก่งๆ ตัวอื่นๆ คือตัวแทนของคนเก่งๆ มีความสามารถพิเศษ เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ค้นพบได้เร็ว เขาจึงรู้วัตถุประสงค์ของชีวิต และดำเนินชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ สบายๆ แต่สำหรับนกสีแดง มันคือตัวแทนของพวกเราส่วนใหญ่ มันคือความจริงแท้ของชีวิตสำหรับคนธรรมดาๆ เรียบง่าย เกิดมาโดยที่ไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปกว่าคนอื่น มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างน่าเบื่อหน่าย และกำลังสับสนว่าเราเกิดมาทำไม ชีวิตนี้มีจุดประสงค์อะไร


 เราอาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เพื่อการค้นหาคำตอบของ Puzzle นี้ หรืออาจจะมีหลายคนที่ใช้เวลานานกว่านั้น จนแทบจะหมดความอดทน จึงบ่นออกมาว่า "เจ้านกสีแดงนี่มันทำอะไรไม่ได้เลยเนอะ ไม่รู้เค้าจะให้มาทำไม?" และอาจจะมีอีกหลายคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตหมดไปแล้ว แต่ก็ยังค้นหาคำตอบนี้ไม่เจอ ก็เลยตัดพ้อกับชีวิตว่า "ขอโทษด้วยที่ฉันเกิดมา...ขอโทษด้วยที่ฉันเกิดมา..."


 แต่ลักษณะสำคัญของเกม Puzzle คือมันถูกสร้างขึ้นมาโดยมีคำตอบรอไว้อยู่แล้ว ผู้สร้าง Angry Birds ไม่ได้สร้างแต่ละเลเวลขึ้นมาแบบสุ่มๆ สั่วๆ เพียงแค่เอาหินเอาไม้มาก่อเป็นบ้าน แล้วจับนกจับหมูมาวางเรียงๆ ไว้อย่างไร้เหตุผลรองรับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในเกมนั้นล้วนมีเหตุผล นกทุกตัวมีวัตถุประสงค์ และทุกเลเวลมีคำตอบรอไว้ให้เราค้นหา


 ถ้าไม่เชื่อ ก็ให้ลองเปิดเข้าไปค้นดูในเว็บยูทูบ ที่นั่นมีคนอัพโหลดคลิปวิดีโอเฉลยการเล่นไว้ครบแล้ว เพียงแค่เปิดเข้าไปดู แล้วก็เล่นไปทีละขั้นๆ ตามนั้นก็พอ


 "อ๋อ! ชั้นรู้แล้ว!" เพื่อนของผมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอเริ่มมองเห็นคำตอบของเลเวลนี้แล้ว หลังจากความพยายามเล่นอยู่นานนับชั่วโมงๆ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่ได้แอบเปิดเข้าไปดูเฉลยในยูทูบเลย


 เราต้องใช้นกสีแดงที่ได้มา ยิงไปชนแผ่นหินให้ล้มลงเสียก่อน แล้วจึงใช้นกสีเหลืองยิงเจาะทะลุกระจกและไม้ที่อยู่หลังแผ่นหินนั้นให้เปิดเป็นโพรง หลังจากนั้นก็ยิงนกสีดำที่เป็นลูกระเบิด ให้เข้าไปซุกอยู่ในโพรงนั้น ด้วยแรงระเบิดจากภายใน จะสร้างความเสียหายให้กับสิ่งปลูกสร้างได้มากกว่า และฆ่าหมูได้พร้อมๆ กันหลายตัว ในท้ายที่สุด เราค่อยใช้นกตัวสีฟ้าที่เหลืออยู่ตัวสุดท้าย ยิงให้แตกออกเป็นตัวย่อยๆ ตกไปใส่หมูที่ยังเหลือรอดจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่ ผลสุดท้ายก็คือหมูตายเกลี้ยง และเราก็ได้เลื่อนไปสู่เลเวลถัดไปของเกม


 เรารู้เหตุผลแล้วว่าทำไมต้องมีนกสีแดง อีกทั้งเราได้ค้นพบวัตถุประสงค์ของนกสีแดงแล้วด้วย นกธรรมดาๆ ที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ก็มีวัตถุประสงค์ของตัวเองได้เช่นเดียวกับนกเก่งๆ ตัวอื่นๆ


 นกทุกตัวล้วนมีความสำคัญ บางตัวเกิดมาเพื่อระเบิด บางตัวเกิดมาเพื่อทะลุทะลวง บางตัวเกิดมาเพื่อกระแทกหนักๆ บางตัวเกิดมาเพื่อแตกออกเป็นลูกปราย และบางตัวเกิดมาเพียงเพื่อชนแผ่นหินแผ่นเดียวให้ล้มลง


 พวกมันได้ลงมือกระทำตามวัตถุประสงค์ของตัวเองจนเสร็จสิ้น แล้วก็จะจากลาเลเวลนี้ไป เหลือทิ้งไว้เพียงผลของการกระทำนั้น การกระทำของนกตัวหนึ่ง ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่้องไปถึงนกตัวอื่นๆ ที่จะตามหลังมา และจะส่งผลกระทบต่อสิ่งปลูกสร้าง และหมูทุกตัวด้วย


 นกแต่ละตัวไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เพราะในท้ายที่สุด เราจะพบว่าวัตถุประสงค์ของนกแต่ละตัวเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของวัตถุประสงค์ของทั้งเลเวล วัตถุประสงค์ของแต่ละเลเวลก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของวัตถุประสงค์ของทั้งเกม นกทุกตัวและผู้เล่นทุกคนเพียงแค่กระทำไปตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้างเกม


 เหตุผลของชีวิต วัตถุประสงค์ของการกระทำ และผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งมวล จะไหลไปรวมกันสู่วัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า


 จักรวาลของเราก็อาจจะเป็นเช่นนี้เอง เป็นเหมือนกับจักรวาลของเกม Angry Birds


 ผมรู้สึกยินดีทุกครั้งที่ได้เห็นนกสีแดง เพราะมันคือความท้าทายให้ผมตั้งคำถามกับชีวิต เวลาที่มันล่องลอยอยู่กลางอากาศ มันส่งเสียงร้องว่า "อา...อี๊...อ๊า..." เหมือนกับมันคอยถามผมอยู่เสมอๆ ว่า "คุณรู้หรือยังว่าทำไม?"



...


 


 

Thursday, January 06, 2011

ภาพมุมก้มลงมองเท้าตัวเอง

...



 ตั้งแต่ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มา ผมก็แทบจะไม่ได้หยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมาใช้อีกเลย


 เพื่อนที่สนิทกันจะรู้ว่าในชีวิตนี้ผมมีงานอดิเรกอยู่เพียงไม่กี่อย่าง และอย่างหนึ่งที่ชอบมากคือการถ่ายภาพ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยใช้กล้องดิจิตอลมาหลายตัว ถ่ายภาพต่างๆ มาสะสมไว้ในฮาร์ดดิสก์เยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นภาพจำพวกใบไม้ไหว สายลม แสงแดด ฝนตก รถติด ผู้คนบนฟุตบาท ผู้คนนั่งในร้านกาแฟ ฯลฯ


 ... และภาพที่มีเยอะมากที่สุด คือภาพมุมก้มลงมองเท้าตัวเอง


 โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา มันไม่ได้แตกต่างไปจากโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนทั่วไป ที่มีวางขายกันเกลื่อนท้องตลาด และผู้คนส่วนใหญ่ก็มีพกไว้ติดตัวเหมือนๆ กัน แม้กระทั่งเด็กนักเรียนสมัยนี้ก็มีโทรศัพท์แบบนี้ใช้กันอยู่แล้วแทบทุกคน มันมีกล้องดิจิตอลเล็กๆ บิวท์อินติดมาไว้ที่หลังตัวเครื่อง สามารถออนไลน์อินเทอร์เน็ตได้ จึงแน่นอนว่าใช้เชื่อมต่อกับเว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คต่างๆ ได้ นอกจากนี้ก็สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ตกแต่งไฟล์ภาพ และแชร์ภาพ มาใส่เพิ่มเข้าไปได้


 จริงๆ แล้ว กล้องในโทรศัพท์มือถือพวกนี้ให้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพห่างไกลจากคำว่า "ความสมบูรณ์แบบ" อย่างมาก ส่วนใหญ่มันใช้ชุดเลนส์ทำจากพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่าเล็บนิ้วก้อยของเราเสียอีก จึงโฟกัสไม่ค่อยได้ หรือบางรุ่นก็ใช้เลนส์แบบคงที่ คือไม่มีการโฟกัสเลยด้วยซ้ำ แถมส่วนใหญ่ก็ยังใช้ CCD อุปกรณ์รับภาพขนาดเล็กกว่าที่อยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไป


 ด้วยคุณสมบัติเบื้องต้นเหล่านี้แล้ว คนที่พอจะเคยเล่นกล้องมาบ้าง ก็คงไม่ต้องเสียเวลานำภาพที่ได้จากกล้องโทรศัพท์ มาเปรียบเทียบกับภาพที่ได้จากกล้องดิจิตอลทั่วไป เพราะแค่ดูจากขนาดของไฟล์ภาพก็รู้ได้แน่นอนแล้ว ไฟล์ JPEG ที่ได้จากกล้องโทรศัพท์นั้นมีขนาดเพียงไม่เกิน 100-200 กิโลไบท์ ในขณะที่ไฟล์จากกล้องดิจิตอลมีขนาด 3-4 เมกะไบท์ขึ้นไป และยิ่งถ้าต้องการเก็บไฟล์ภาพในฟอร์แมท RAW มันจะมีขนาดใหญ่ถึง 30-40 เมกะไบท์ต่อไฟล์ มันใหญ่มากจนต้องหาซื้อฮาร์ดดิสก์ความจุเยอะๆ มาใช้งานเพิ่มกันเลยทีเดียว


 ตั้งแต่เมื่อครั้งที่กล้องดิจิตอลกับกล้องฟิล์มยังคงมีความสูสีทัดเทียมกันอยู่ในตลาด เทคโนโลยีดิจิตอลเคยให้คำมั่นสัญญาเรื่อง "ความสมบูรณ์แบบ" กับคนรักการถ่ายภาพ มันได้แสดงพลังการประมวลผลตัวเลขเพียง 0 และ 1 แปลงให้กลายเป็นภาพที่มีความคมชัดสูงขึ้น มีสีสันสมจริงขึ้น และเข้าใกล้กับภาพที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกมันได้ทำให้กล้องฟิล์มเลือนหายไปจากท้องตลาดในที่สุด


 แล้วต่อจากนั้น มันยังคงแสดงพลังการประมวลผลให้เหนือกว่ากล้องฟิล์มขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้จบสิ้น การไล่เฉดสี ไล่ระดับแสง ไดนามิกเรนจ์ ความคมชัดทุกอณูตั้งแต่มุมหนึ่งไปจนถึงอีกมุมหนึ่ง โดยปราศจากน้อยซ์หรือสัญญาณรบกวน ปราศจากการคลาดหรือเหลื่อมของสี ปราศจากเงาดำทั้ง 4 มุมของภาพ และปราศจากดิสทอร์ชั่นต่างๆ


 เว็บไซต์ที่สอนการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล และเว็บไซต์รีวิวคุณภาพของกล้องดิจิตอล นำภาพที่ถ่ายด้วยกล้องแต่ละรุ่นมาขยายให้ใหญ่เกินจริง เปิดเผยให้เห็นรายละเอียดของทุกมุมภาพ ทุกพิกเซล ทุกความผิดพลาด ทุกความคมชัด ผมเคยเพ่งดูข้อมูลและไฟล์ภาพเหล่านั้นด้วยความตื่นตะลึงและลุ่มหลงในความสมบูรณ์แบบ ตามแบบฉบับของยุคสมัยแห่งดิจิตอล


 จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าผมจะบอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เคยซื้อกล้องดิจิตอลมาใช้หลายตัว หลายยี่ห้อ หลายคุณสมบัติ นับไล่ไปตั้งแต่ระดับคอมแพคท์ ไปจนถึงระดับ DSLR ความละเอียดภาพนับไล่ตั้งแต่ 3 ล้านพิกเซล ไปจนถึง 10 กว่าล้านพิกเซล บางตัวซื้อมาแล้วไม่ชอบ ก็ขายต่อไปบ้าง มีหลายตัวที่แทบไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่เสียดายไม่อยากขาย เลยเก็บมันเข้ากรุไว้จนฝุ่นเกาะ แบตเตอรี่และแผงวงจรอิเลกทรอนิกส์ภายในก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพไปเองตามกาลเวลา มีเพียงไม่กี่ตัวที่โปรดปราน ก็พกใส่กระเป๋าสะพายติดตัวไว้ถ่ายภาพในชีวิตประจำวัน


 กิจวัตรทุกคืนๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ผมถอดแบตเตอรี่ออกมาเสียบแท่นชาร์จไฟ ดึงเมมโมรี่การ์ดออกจากกล้อง นำไปโหลดภาพเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ที่ต้องซื้อมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีบางภาพที่คิดว่าสวยพอใช้ได้ ก็จัดการลดขนาดมันลง แล้วอัพโหลดไปใส่ไว้ในบล็อกเพื่ออวดเพื่อนไม่กี่คน แล้วก็เข้านอน เพื่อจะได้ฝันถึงกล้องดิจิตอลตัวใหม่ที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ มันอาจจะช่วยให้ถ่ายภาพที่สวยกว่า


 ผมไม่เคยรู้สึกพึงพอใจกล้องตัวไหน ไม่เคยมีภาพถ่ายใดที่สมบูรณ์แบบ ... และภาพที่มีเยอะมากที่สุดในฮาร์ดดิสก์ตอนนี้ คือภาพมุมก้มลงมองเท้าตัวเอง


 เทคโนโลยีดิจิตอลกำลังนำพาให้เราเดินทางเข้าไปสู่สภาวะในอุดมคติที่ไม่มีวันเข้าถึงได้จริง การมีกล้องดิจิตอลที่ทันสมัยที่สุด เลนส์คุณภาพสูงที่สุด CCD ขนาดใหญ่ที่สุด ให้ไฟล์ภาพที่มีความละเอียดและคมชัดสูงที่สุด ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจสูงสุด บางทีการหยุดเดินทางไปหาสภาวะอุดมคติ แล้วยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของอะไรๆ ต่างๆ นานา ในโลกแห่งความจริง ก็อาจจะเป็นอีกหนทางเดินที่น่าสนใจมากกว่า


 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ผมเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำกล้องดิจิตอลตัวโปรดไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา และก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าในที่สุด ตนเองเก็บกล้องดิจิตอลตัวโปรดไว้ในกระเป๋าแทบตลอดทั้งทริป แล้วหันมาใช้ใช้กล้องโทรศัพท์ถ่ายภาพแทน


 นอกจากภาพที่ได้มาจากกล้องโทรศัพท์นั้นจะไร้ซึ่งความคมชัดอย่างที่คาดไว้อยู่แล้ว ผมยังไปโหลดแอพพลิเคชั่นด้านการถ่ายภาพมาลงเพิ่มไว้ในโทรศัพท์อีก เพื่อตกแต่งภาพนั้นให้เหมือนภาพที่ได้จากกล้องโลโม่ที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้กำลังฮิตๆ กัน ทำให้ได้ภาพที่ยิ่งผิดเพี้ยน เปรอะเปื้อน เบลอ เต็มไปด้วยริ้วรอยตำหนิเหมือนภาพเก่า


 ความไม่สมบูรณ์แบบก็มีความงามของมัน มันก็เหมือนกับแฟชั่นการใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบเลอะเทอะ และเสื้อยืดเก่าๆ มันก็เหมือนกับชีวิตคนเรา ที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบตามอุดมคติ ยิ่งผ่านนานวัน ยิ่งนำมาขยายให้ใหญ่ ยิ่งพยายามเพ่งดู เราต่างก็ยิ่งมี ยิ่งพบเห็นสิ่งผิดเพี้ยน เปรอะเปื้อน เต็มไปด้วยริ้วรอยตำหนิ แต่เราก็ยังต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้


 แอพพลิเคชั่นที่เอามาใส่โทรศัพท์นี้ นอกจากจะใช้ตกแต่งภาพจากกล้องโทรศัพท์ให้ผิดเพี้ยนแล้ว มันยังให้บริการโซเชียลเน็ทเวิร์คแบบโฟโต้แชร์ริ่ง เปิดให้กับผู้ใช้ทุกคนได้อัพโหลดรูปของตนเองขึ้นไปอวดกัน


 ผมถ่ายภาพมุมก้มลงไปมองเท้าตัวเอง เป็นชายขากางเกงยีนส์เก่าๆ และรองเท้าผ้าใบเลอะเทอะ ยืนบนฟุตบาทแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ สีสันผิดเพี้ยน โฟกัสเบลอๆ แล้วอัพโหลดมันขึ้นไปแชร์ให้ผู้ใช้คนอื่นได้ดู ก่อนที่จะเปิดเข้าไปในหน้า Wall ของโซเชียลเน็ทเวิร์คแห่งนี้ แล้วก็พบว่า ที่นี่ทำให้เราทุกคน ต่างมองเห็นภาพความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน


 มีภาพใบไม้ไหว สายลม แสงแดด ท้องฟ้า ผู้คนเดินไปมา ฯลฯ ทุกภาพล้วนไม่สมบูรณ์แบบ โอเวอร์ อันเดอร์ เอาท์โฟกัส สีสันผิดเพี้ยน เปรอะเปื้อน แต่ในสายตาของผู้ใช้ทุกคน พวกมันล้วนสวยงาม น่าชื่นชม ผมพบว่ามีผู้ใช้อีกหลายคนชอบถ่ายภาพมุมก้มลงไปมองเท้าตัวเองเหมือนกันกับผม คงเป็นเพราะพวกเราส่วนใหญ่มีกล้องอยู่ในมือ แต่พวกเราไม่รู้จะถ่ายอะไร นอกจากภาพเท้าตัวเอง


 เทคโนโลยีที่เราต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่เทคโนโลยีที่จะนำเราเดินทางเข้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ แต่น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถทนอยู่กับความเป็นจริงของโลกได้มากกว่า


 ไฟล์ภาพในฟอร์แมท RAW ที่มีขนาดใหญ่ถึง 30-40 เมกะไบท์ มันคมชัดมากถึงขนาดที่สามารถนำใช้ตีพิมพ์ลงเต็มหน้านิตยสารหรือหน้าหนังสือพิมพ์แบบช่างภาพมืออาชีพได้เลยทีเดียว หรือมันสามารถนำไปอัดลงบนกระดาษขนาดใหญ่ยักษ์ ใส่กรอบสวยๆ แล้วแขวนโชว์ไว้บนฝาผนังบ้าน


 แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรายืนอยู่เพียงเดียวดาย เอามือหนึ่งไพล่อยู่ข้างหลังตัวเอง อีกมือหนึ่งขยับกรอบแว่น แล้วเพ่งมองภาพนี้ - ภาพมุมก้มลงมองเท้าตัวเอง ตรวจดูทีละมุม ทีละพิกเซล เพื่อมัวแต่มองหาจุดตำหนิ ริ้วรอย และความผิดพลาดต่างๆ


 บางทีเราอาจจะต้องการเพียงไฟล์ภาพ JPEG ขนาด 100-200 กิโลไบท์ ที่เล็กเกินกว่าจะนำไปทำอะไรต่อได้ นอกจากเปิดดูมันบนหน้าจอแอลซีดีเล็กๆ ของโทรศัพท์มือถือ แล้วสะกิดให้ใครสักคนชะโงกหน้ามาดูภาพนี้ด้วยกัน - ภาพมุมก้มลงมองเท้าตัวเอง


 หลังจากนั้นก็อัพโหลดมันขึ้นไปใส่ไว้ในโซเชียลเน็ทเวิร์ค ที่เต็มไปด้วยรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบ ถ่ายและอัพโหลดมาโดยผู้คนนับแสนนับล้านที่ล้วนไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน



...