...
ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า เวลาฟังเพลงบางเพลง เสียงเพลงทำให้เรารู้สึกว่ามัน "สว่าง" เหมือนกำลังมองท้องฟ้าสว่างๆ
เท่าที่จำได้ตอนเด็กผมฟังเพลง Rocky Mountain High ของ จอห์น เดนเวอร์ แล้วรู้สึกว่ามันสว่างมาก อาจจะเพราะเพลงนี้เนื้อร้องมันเกี่ยวกับทัศนียภาพของเทือกเขาร็อคกี้ในอเมริกา มันเลยสว่างเพราะจินตนาการไปตามเนื้อหาในเพลง
ทุกเพลงของ ปราโมทย์ วิเลปะนะ ก็ทำให้รู้สึกสว่างได้ ผมว่าปราโมทย์เป็นน้องร้องชายที่เสียงแปร๋นๆ ฟังแล้วเสียงมันพุ่งเข้ารูหูยังไงไม่รู้ และทำให้รู้สึกสว่างทุกเพลง
อันนี้คือเพลงล่าสุดที่ทำให้รู้สึกสว่างๆ เพลง "คู่กัน" ของวงสครับ แปลกที่เสียงร้องมันฟังเหมือนคนง่วงกำลังบ่นงึมงำ อาจจะเพราะคอร์ดแบบ Major ในเพลง หรืออะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มันทำให้เสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ ยังไงไม่รู้ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
...
Saturday, January 31, 2009
เพลงที่สว่าง
Tuesday, January 27, 2009
จับผิดรายวัน
...
ยิ่งเกลียดก็ยิ่งดู ยิ่งดูก็ยิ่งเกลียด เลยเขียนบล็อกจับผิดมันรายวันเลยดีกว่า 555
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7464605/A7464605.html
http://www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q7462280/Q7462280.html
ตามไปอ่านในกระทู้พันทิปนะครับ
...
Monday, January 26, 2009
27% ผู้หญิง ลอตเตอรี่ ยกทรง
...
เมื่ออาทิตย์ก่อนนั่งทำงานไป ก็เปิดทีวีแช่ทิ้งไว้เป็นรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงตอนเช้า ได้ยินกาละแมพูดว่า จีเอ็มจีเอ็ม แว้บๆ ก็เลยหันไปดูซะหน่อย
เห็นเธอหยิบข่าวนี้ขึ้นมาพูดออกรายการ "ผู้หญิง 27% ที่ถูกลอตเตอรี่ มักจะซ่อนลอตเตอรี่เอาไว้ในยกทรง!" พูดเสร็จก็หัวเราะกันคิกๆ คักๆ กันในหมู่พิธีกรร่วมรายการต่อกันไปอีกสักพักใหญ่ๆ
พอดีหน้านั้นเป็นหน้าคอลัมน์ Food For Thought ซึ่งมีบทความของ วินทร์ เลียววาริณ กับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ อยู่ตรงแถวๆ ใกล้ๆ นั้นพอดี
ประเด็นที่ผมสนใจคือ เนื้อหายาวๆ ที่เรียกร้องความตั้งใจในการอ่าน อย่างบทความของคอลัมนิสต์ชื่อดังเหล่านี้ กลับไม่ได้รับความสนใจจากรายการทีวีประเภทคุยข่าวผู้หญิง แต่พวกเธอกลับไปสนใจกรอบเล็กๆ ที่ใส่เกร็ดความรู้สั้นๆ แปะเอาไว้เพื่อคั่นสายตาในการอ่าน มีพื้นที่แค่ประมาณ 1 x 2 นิ้วเท่านั้น เทียบกับพื้นที่ของเนื้อหาหลักที่ใหญ่กว่ากันมาก
"ผู้หญิง 27% ที่ถูกลอตเตอรี่ มักจะซ่อนลอตเตอรี่เอาไว้ในยกทรง!" เนื้อหานี้มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และทำไมมันถึงน่าสนใจ
- 27%
- ผู้หญิง
- ลอตเตอรี่
- ยกทรง
...
Wednesday, January 21, 2009
แช่ป้าย
...
เวลาดูข่าวไม่ดีๆ เกี่ยวกับรถเมล์ ประมาณว่ารถเมล์ซิ่งชนคนตาย ผู้โดยสารตกรถเมล์ตาย ผมรู้สึกสงสารคนขับรถเมล์มากกว่าที่จะไปด่าซ้ำเติมเขา
เพราะบนท้องถนนกรุงเทพฯ รถเมล์ซึ่งเป็นการขนส่งสาธารณะ ไม่เคยได้รับความสะดวกสบายในการใช้ผิวถนนเลย มีแต่จะถูกเบียดบังและเอารัดเอาเปรียบจากความเห็นแก่ตัวของคนขับรถเก๋ง ทั้งรถเก๋งส่วนบุคคลและบรรดารถแท็กซี่ทั้งหลาย
นี่คือสิ่งที่ผมประสบจนชินชาทุกวี่ทุกวัน ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้องมือถือ เมื่อคืนวานที่ป้ายรถเมล์หน้าเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
- รถแท็กซี่จอดแช่อยู่หน้าป้ายรถเมล์ โดยเฉพาะแถวหน้าศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย หรือตลาด บางทีมีพวกรถเก๋งส่วนบุคคลจอด แล้วเปิดไฟฉุกเฉินกระพริบไว้ ... เพื่อลงไปซื้อของในร้านเซเว่น! ทำให้เสียถนนไปเลย 1 เลน รถติดกระหน่ำตรงหน้าป้ายรถเมล์ รถเมล์เข้าจอดป้ายไม่ได้ หรือถ้าเข้าได้ก็ต้องตีออกขวาเพื่อหลบรถที่จอด
- เวรกรรมไปตกอยู่กับผู้โดยสารรถเมล์ ทำให้ต้องวิ่งไปขึ้นรถเมล์นอกป้าย หรือบางทีต้องวิ่งลงมาบนถนน เพื่อขึ้นรถเมล์ที่จอดอยู่เลนกลางถนน บางครั้งซวยหนัก มีมอเตอร์ไซค์ขี่ย้อนเลนมา ตาก็มัวแต่มองรถเมล์ที่กำลังแล่นมาทางขวามือ ไม่ได้ดูมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ย้อนเลนมาทางซ้าย ชนกันเปรี้ยงเข้าให้ คนขับรถเมล์ก็ผิดอีกตามเคย
ใครมีญาติเป็นตำรวจ หรือใครรู้จักกับผู้ว่ากทม.คนใหม่ ช่วยไปบอกๆ เขาหน่อยสิครับ
...
Monday, January 12, 2009
ดูหนังเป็นตุเป็นตะ - Lady in the water
1. ทฤษฎีประพันธกร 2. รูปแบบของเรื่องเล่า 3. สภาวะหลังสมัยใหม่ The Sixth Sense ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของหนังหักมุม ที่สะท้อนให้เห็นสุนทรียะของหนังในโลกยุคหลังสมัยใหม่ นอกจากความเขย่าขวัญ การสะดุ้งตกใจ และภาพน่าเกลียดน่ากลัวในหนังแล้ว ความสนุกประการสำคัญคือการต่อต้านเรื่องเล่า และนั่นก็ทำให้ชยามาลานถูกคาดหวังถึงอย่างมากในเวลาต่อมา แฟนหนังของเขาหวังให้เขาเป็นหัวหอกสำคัญในการทำลายเรื่องเล่า ส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าโรงไปพร้อมกับเสียงเชียร์อย่างสะใจว่า "หักมุม หักมุม หักมุมๆๆ" และเมื่อหนังของชยามาลานเรื่องต่อๆ มาไม่ได้หักมุมมากมาย หรือหักมุมแล้วแต่ยังไม่สะใจ นักวิจารณ์หนังก็มักจะเขียนถึงอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไร ว่าหนังห่วยเพราะหมดมุขหักมุม ผู้กำกับมือตกเพราะหักมุมไม่สะใจ โดยละเลยที่จะพูดถึงเนื้อหาหรือประเด็นสำคัญที่แฝงอยู่ภายในตัวหนัง ผมคิดว่าชยามาลานก็เป็นผู้กำกับหนังธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งเขาก็คงคาดหวังที่จะสื่อสารความคิด หรือเสนอประเด็นอะไรอื่นๆ ไปสู่คนดูหนังของเขาบ้าง เรื่องศาสนา เรื่องการเมือง เรื่องการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ฯลฯ ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะหักมุมหนังกันท่าเดียว เพียงแต่หนังเรื่องเปิดตัวของเขาคือ The Sixth Sense เท่านั้นเอง ที่มันกลายเป็นหลุมของความสำเร็จ และเป็นป้ายแปะบนหน้าอกของเขา ว่าเขาจะต้องทำแบบนี้ให้ได้อีก Lady in the Water จึงเป็นหนังที่เขาต้องการจะพูดคุยกับคนดูหนังของเขา ว่า "เฮ้! พวกคุณ! จะหักมุมกันไปถึงไหน? ดูหนังกันที่ประเด็นของหนังกันซะบ้างสิ" และประเด็นของหนัง Lady in the Water นี้ก็คือ "คุณค่าของเรื่องเล่า" ถือเป็นการตอบโต้กระแสนิยม "การต่อต้านเรื่องเล่า" ที่แหลมคมอย่างมาก ...
...
Lady in the Water จริงๆ แล้วถ้าเราพิจารณากันเฉพาะในตัวหนัง มันก็แค่หนังแฟนตาซีทริลเลอร์เรื่องหนึ่งซึ่งทำออกมาราบเรียบ ไม่ค่อยลุ้น ไม่ค่อยสนุกเท่าไร แต่ผมว่าความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่มันได้แสดงการปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบๆ ตัวมันได้อย่างแหลมคม ผมคิดว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้ คือ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ได้สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างมีจุดประสงค์พิเศษ คือเพื่อพูดคุยกับแฟนหนังของเขา เพื่อโต้ตอบกับนักวิจารณ์ และเพื่อแสดงความคิดเห็นของเขาที่มีต่อสุนทรียะของศิลปะภาพยนตร์ร่วมสมัย ดังนั้น ก่อนจะเริ่มการวิเคราะห์ความแหลมคมของหนัง Lady in the Water เราจึงต้องทำความเข้าใจบริบทที่อยู่รอบๆ ตัวหนังเรื่องนี้เสียก่อน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจตัวผู้กำกับหนังเสียก่อน โดยใช้ทฤษฎีประพันธกร คือการทำความเข้าใจหนังเรื่องหนึ่ง ด้วยการศึกษาประวัติและผลงานเรื่องอื่นๆ ของตัวผู้กำกับ
สำหรับชยามาลาน เรารู้กันดีว่าเขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่มาแรง จากหนังเปิดตัวเรื่องแรกแนวเขย่าขวัญหักมุมเรื่อง The Sixth Sense เขาประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในแง่รายได้และคำชมจากนักวิจารณ์ หลังจากนั้นมา ทั้งแฟนหนังของเขาและนักวิจารณ์ทั่วโลก ต่างก็จับตามองและคาดหวังกับหนังเรื่องต่อๆ มา ว่ามันจะต้องเขย่าขวัญมากกว่าเดิม หักมุมได้แปลกประหลาดกว่าเดิม
Unbreakable ถูกคาดหมายว่ามันจะต้องหักมุมกันแบบให้คนดูตกเก้าอี้ แต่กลับไม่เป็นไปตามนั้น หลายคนมองว่ามันคือหนังซูเปอร์ฮีโร่แนวแปลกๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้มองลงไปให้ลึกกว่านั้นว่ามันมีความเป็นปรัชญามากแค่ไหน
Sign ถูกคาดหมายว่ามันจะต้องเป็นหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่เขย่าขวัญสุดๆ และแน่นอนว่ามันต้องหักมุมสุดๆ ด้วย เพื่อแก้มือจากหนังเรื่องก่อนคือ Unbreakable แต่มันก็กลับไม่ได้เป็นไปตามนั้นอีก มันกลายเป็นแค่หนังแนวศาสนาคริสต์ ที่มีเอฟเฟกต์ห่วยๆ คือให้มนุษย์ต่างดาวใส่ชุดยางง่ายๆ ช่วงนี้ชยามาลานเริ่มถูกสงสัยเคลือบแคลงถึงฝีไม้ฝีมือ
The Village ชยามาลานกลับมาพร้อมกับความต้องการวิพากษ์วิจารณ์สภาพสังคมและการเมืองอเมริกัน ผ่านทางหนังแนวสัตว์ประหลาดในหมู่บ้านเพี้ยนพิลึก คราวนี้ชยามาลานหักมุมหนังของเขาแบบหวังจะให้คนดูและนักวิจารณ์ตกเก้าอี้เหมือนกัน แต่คนดูหลายคนเดินเข้าโรงไปพร้อมกับความคาดหวังว่า "มันจะต้องหักมุก ... มันจะต้องหักมุม" เมื่อหนังหักมุมตามใจคนดูจริงๆ คนดูก็เลยรู้สึกว่า "เฮ้ย ... หักมุมแค่เนี้ยะ!?"
ผมคิดว่าในช่วงนี้ แฟนหนังและบรรดานักวิจารณ์เริ่มเซ็งและหมดใจกับชยามาลานแล้ว ทำให้ฉันกลัวกว่านี้อีกสิ! ทำให้ฉันแปลกใจกว่านี้อีกสิ! คุณทำแบบ The Sixth Sense ไม่ได้อีกแล้วเหรอ?? นี่คือบริบทที่ประพันธกรหรือตัวผู้กำกับกำลังเผชิญอยู่ตอนเขา เริ่มต้นทำหนัง Lady in the Water
เมื่อเข้าใจตัวผู้กำกับแล้ว เราก็ต้องย้อนกลับไปปัดฝุ่นกองหนังสือเก่าๆ ในห้องสมุดที่มหาวิทยาลัย เพื่อเรียนวิชามนุษยวิทยาและสังคมวิทยาเพิ่มเติมกันอีกนิด เพื่อทำความเข้าใจเรื่อง "การหักมุม" ว่าทำไมเราชอบดูหนังหักมุมกันเหลือเกิ้นนน
ก่อนจะมีการหักมุม เราต้องมี "เรื่องเล่า" มาก่อน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คือเมื่อมนุษย์เราเริ่มมารวมกลุ่มกัน เราได้พัฒนาการสื่อสาร สั่งสมและสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมต่างๆ ต่อเนื่องกันมาด้วยเรื่องเล่า เรื่องเล่าจึงมีส่วนสำคัญในวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ตั้งแต่การวาดภาพบนฝาผนังในปิระมิดของพวกอียิปต์โบราณเมื่อห้าพันปีก่อน มาจนถึงการเขียนบล็อกเล่าชีวิตประจำวันของพวกเราในวินาทีนั่นแหละ ทุกอย่างล้วนถ่ายทอดกันด้วยเรื่องเล่า
นักมนุษยวิทยาและสังคมวิทยาบางคนได้เสนอทฤษฎีว่า เรื่องเล่าของทุกชนเผ่า ทุกยุคสมัย ล้วนมีรูปแบบบางอย่างที่เหมือนกัน ซึ่งพวกเขาคิดว่ารูปแบบนี้ได้สะท้อนให้เห็นธรรมชาติบางอย่างของความเป็นมนุษย์ทุกคนในโลก ทุกยุคทุกสมัย ที่เราต่างก็มีร่วมกันอยู่ และทำให้เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้ ยกตัวอย่างเช่น วลาดิเมียร์ พร็อพพ์ ทำการศึกษานิทานพื้นบ้านของรัสเซีย และเขาพบรูปแบบร่วมกันของนิทานทุกเรื่อง ว่าพวกมันล้วนประกอบด้วยองค์ประกอบของเนื้อเรื่อง 31 ขั้นตอน อาจจะมีครบ หรืออาจจะมีขาด แต่หลักๆ แล้วพวกมันล้วนมีรูปแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการอีกหลายคนอย่างเช่น เลวีสโตรส เกรย์มาส ฯลฯ ก็ศึกษาและพบว่ามีรูปแบบนี้อยู่
รูปแบบของเรื่องเล่าที่มนุษย์ทั้งโลกแต่งขึ้นมา โดยคร่าวๆ แล้วมันจะประกอบด้วย
ตัวเอกไปทำอะไรผิดสักอย่างหรือขาดแคลนอะไรบางอย่าง - ตัวเอกก็เลยโดนตัวร้ายทำร้าย กลั่นแกล้ง ปรักปรำ - เขาต้องออกจากเมืองหรือบ้าน - เขาต้องเดินทางเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไข - เขาพบผู้ช่วยอาจจะมาในรูปแบบอาจารย์ สัตว์เลี้ยง หรือลูกน้อง - เขาพบของวิเศษ อาวุธใหม่ หรือได้ฝึกวิชาใหม่ - เขาได้พบคนรัก - ตัวร้ายจะต้องตามมาราวี - หรืออาจจะพบปัญหาอุปสรรคความยากลำบากอื่นๆ - เขาจะแก้ไขปัญหาอุปสรรคนั้นได้ด้วยผู้ช่วยและของวิเศษ - เขาได้เดินทางกลับเมืองหรือบ้าน - ตัวเองลงมือจัดการกับตัวร้าย - เขาแก้ไขปัญหาที่ตนเองทำผิดหรือขาดแคลนตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง - เขาได้แต่งงานกับคนรักและได้อยู่เมืองหรือบ้านนั้นตลอดไป - จบ
ลองนึกๆ ดูนะครับ ว่าเรื่องเล่าในรูปแบบนี้เราพบได้ในไหนบ้าง?
ตำนานศาสนา พระพุทธเจ้า พระเยซู
ตำนานประเทศ พระนเรศวร พระเจ้าตาก
เทพนิยาย ซินเดอเรลล่า เจ้าหญิงนิทรา
นิยายร่วมสมัย แฮรี่พอตเตอร์ เฒ่าผจญทะเล
เทพปกรณัม โอดิสซี อีเลียด
หนังโรง สตาร์วอร์ส ดายฮาร์ด พริตตี้วูแมน
การ์ตูน วอร์อี กังฟูแพนด้า
นิทานพื้นบ้าน สังข์ทอง พระอภัยมณี
กำลังภายใน มังกรหยก ฤทธิ์มีดสั้น
ละครทีวี จำเลยรัก บ้านทรายทอง ฯลฯ
ทุกอย่างล้วนดำเนินเรื่องเล่าไปอย่างมีรูปแบบเดียวกัน ตัวเอกมีปัญหา ต้องเดินทางไป เจอผู้ช่วย เจอคนรัก แล้วก็ปราบตัวร้าย แล้วก็แฮปปี้เอนดิ้ง อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้หน่อย แต่ทุกเรื่องก็แตกต่างกันเพียงแค่ในรายละเอียด ตัวละคร สถานการณ์ ฉาก
อันนี้ผมเขียนขึ้นมาจากความเข้าใจส่วนตัวนะครับ
ผมว่าความจริงแท้ของโลกเรา มันไม่ได้มีอะไรที่สัมบูรณ์ ไม่มีอะไรถูกต้อง ไม่มีอะไร 100% ไม่มีอะไรที่เหมือนกันไปทั้งหมดหรอก มีขาวก็ต้องมีดำ มี 1 ก็ต้องมี -1 มีแอคชั่นก็ต้องมีรีแอคชั่น ดังนั้นเมื่อมีเรื่องเล่า ก็ต้องมีการต่อต้านเรื่องเล่า ผมคิดว่าการต่อต้านเรื่องเล่านั้นมีมาตั้งแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และมีมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของเรื่องเล่า เพียงแต่ว่าในโลกยุคหลังสมัยใหม่ หรือที่ Lyotard เสนอว่ามันเริ่มปรากฏในช่วง 40-50 ปีมานี้ การต่อต้านเรื่องเล่านี้ถือว่าเป็นสุนทรียะประการสำคัญของยุคสมัย
ในช่วงหลังๆ มานี้ เราจึงมักจะได้เห็นเรื่องเล่าประเภทที่ต่อต้านเรื่องเล่ามากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นพระเอกนางเอกตายตอนจบ ตอนจบพระเอกนางเอกไม่ได้กัน หรือเรื่องเล่าแบบที่ตอนจบเฉลยว่าจริงๆ แล้วพระเอกคือร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา หรือจริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดนั้นคือความฝัน หรือตอนจบผู้ร้ายฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรือเรื่องเล่าบางเรื่องก็นำเสนอพระเอกนางเอกแบบซอมซ่อ โทรมๆ หรือเป็นคนที่มีด้านลบภายในจิตใจ ฯลฯ
ผมคิดว่าในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นช่วงที่ฮอลลีวู้ดนำเสนอหนังที่ต่อต้านเรื่องเล่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหนังพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างสูง ทำรายได้อย่างถล่มทลาย แสดงให้เห็นว่าคนดูก็มีความต้องการอย่างมาก ซึ่งหนังต่อต้านเรื่องเล่านั้นมักจะแสดงออกในลักษณะต่างๆ กันดังนี้
- การเล่าแบบไม่เรียงลำดับเวลา เช่น Pulp Fiction ที่เล่าเรื่องราวของโจรหลายๆ คน หลายๆ กลุ่ม แบบรื้อลำดับเวลาออก แล้วเรียงเรื่องขึ้นมาใหม่
- การล้อเลียนตัวละครแบบดั้งเดิม เช่น Shrek ที่นำยักษ์เขียวอัปลักษณ์มาเป็นพระเอก และให้เจ้าชายผมทองขี่ม้าขาวกลายเป็นผู้ร้าย
- การหักมุม อันนี้มีเยอะมาก และแต่ละเรื่องก็สนุกมากด้วย เช่น The Usual Suspect , Fight Club
***
1. นิทานก่อนนอน
ก่อนหนังจะเข้าโรงฉาย ชยามาลานให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อตอกย้ำว่าหนังเรื่องนี้ของเขาเกี่ยวกับนิทานก่อนนอน มันมาจากเรื่องราวง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ที่เขาเล่าให้ลูกชายฟังก่อนนอน แฟนหนังของเขาส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่โตแล้ว เป็นวัยรุ่นหรือเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยที่เบื่อการฟังนิทานก่อนนอนแบบเด็กๆ ทุกคนอยากดูหนังหักมุม หนังเขย่าขวัญ และทุกคนคงจะสงสัยว่าถ้าผู้กำกับหนังคนนี้ทำหนังเกี่ยวกับนิทานก่อนนอน เขาจะทำมันออกมาอย่างไร
แล้วก็ปรากฏว่าหนังเปิดเรื่องด้วยภาพกราฟิกการ์ตูน พร้อมเสียงเล่านิทานเกี่ยวกับมนุษย์และมนุษย์น้ำ เป็นความจงใจของชยามาลานที่จะบอกกับคนดูว่านี่คือหนังเกี่ยวกับนิทาน ก็ต้องเปิดเรื่องด้วยการเล่านิทานสิ ชยามาลานใช้นิทานเป็นสื่อ เพราะมันคืองานเขียนที่มีรูปแบบของเรื่องเล่าชัดเจนที่สุด
2. ตัวเอก
ตัวเอกของเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นผู้หญิง เป็นมนุษย์น้ำที่ออกเดินทางจากเมืองน้ำขึ้นมาบนโลกมนุษย์ โดยผ่านทางสระว่ายน้ำของอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง เธอมีชื่อว่า "Story" (ชัดเจนมากเลยเห็นไหม?) ปัญหาที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องออกเดินทางมา ถูกบอกเล่าตั้งแต่ตอนต้นเรื่องแล้ว ว่าเป็นเพราะมนุษย์ไม่ยอมฟังมนุษย์น้ำอีกต่อไป ทำให้โลกเกิดความโกลาหลวุ่นวายมากมาย เธอจึงต้องมาเพื่อพูดกับมนุษย์อีกครั้ง
3. ผู้เล่านิทาน
หลังจากฉากเปิดเรื่องที่เป็นกราฟิกการ์ตูนและเสียงคนเล่านิทานแล้ว หลังจากนั้นมา นิทานเรื่องนี้ก็ยังถูกเล่าอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านปากของตัวละครสำคัญตัวนี้เอง เธอเป็นแม่ชาวเกาหลี ความหมายของตัวละครนี้ คือ
- แม่คือผู้เล่านิทานให้เราฟังตอนเด็กๆ คือผู้นำเรื่องเล่าจากรุ่นหนึ่งถ่ายทอดไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
- ใช้ตัวละครเป็นชาวเกาหลี เพื่อจะสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าชนชาติใดก็มีนิทานที่มีรูปแบบเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกัน เข้าใจตรงกันได้หมด
4. แรงบันดาลใจ
จุดประสงค์ของ Story ก็คือเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครสักคนที่เป็นนักเขียน เพื่อให้เขาเขียนหนังสือที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชยามาลานมารับบทเป็นนักเขียนคนนั้นด้วยตัวเอง เขาต้องการจะบอกว่า "นิทานก่อนนอน" หรือ "Story" หรือ "เรื่องเล่า" ธรรมดาๆ นี่แหละ คือแรงบันดาลใจที่สำคัญในการสร้างสรรค์ของมนุษย์
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราทุกคนตั้งแต่เด็กๆ เราก็เติบโตขึ้นมาด้วยการฟังนิทาน ตอนเด็กเราก็ร้องขอให้แม่เล่านิทานให้ฟัง ร้องขอให้แม่ซื้อหนังสือนิทานให้อ่านนิทานคือการสืบทอดความรู้ คำสอน วัฒนธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และกรอบความคิดทุกอย่าง จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว นิทานสั่งสอนเราเรื่องความดีความเลว ธรรมะชนะอธรรม ความขยัน ความประหยัด อดทน ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ฯลฯ วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกก็สร้างขึ้นมาโดยนักเขียนที่ตอนเด็กๆ ต้องได้ฟังนิทานมาแล้วทั้งนั้นแหละ
5. อุปสรรค
อุปสรรคระหว่างการเดินทางของนางเอก คือสัตว์ประหลาดลักษณะเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ มีขนเป็นหนามแหลมสีเขียวเหมือนใบหญ้า แอบอยู่ในสนามหญ้าข้างสระน้ำ คอยดักทำร้ายนางเอกเมื่อออกจากบ้านคนเดียว
6. ผู้ช่วยเหลือ
ตามรูปแบบของเรื่องเล่า ระหว่างการเดินทาง ตัวเอกจะพบอุปสรรคและศัตรูตามรังควาน เขาหรือเธอจะได้พบกับผู้ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เช่น
- Guild คือคณะบุคคลที่รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือตัวเอก เช่น 7 ประหลาดแห่งกังหนำ ในมังกรหยก
- Healer คือผู้รักษาอาการเจ็บป่วย เมื่อตัวเอกได้รับพิษหรือบาดเจ็บครั้งสำคัญ
- Guardian คือผู้คอยคุ้มครองปกปักรักษาตัวเอก เช่นนางฟ้าในซิลเดอเรลล่า
- Symbolist คือผู้ช่วยตัวเอกถอดรหัสลับ เพื่อไปเอาคัมภีร์ ไปเอาอาวุธ หรือเดินทางผ่านด่านอะไรสักอย่าง
ในหนังเรื่องนี้ จะมีการกำหนดตัวผู้ช่วยเหลือทั้งหมดนี้ 2 ครั้ง โดยกำหนดตาม 2 แนวความคิด ในครั้งแรกกำหนดผิด แล้วจึงมาถูกต้องในครั้งที่สอง รายละเอียดจะกล่าวเพิ่มเติมในข้อ 9. และ 10.
7. ของวิเศษ
ก้อนหินที่นางเอกใช้รักษาอาการบาดเจ็บเมื่อถูกสัตว์ประหลาดหมาป่าทำร้าย
8. ตัวร้าย
นักวิจารณ์หนังเป็นตัวละครที่สำคัญมากในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าชยามาลานจงใจให้เขาเป็นตัวร้ายของหนังเรื่องนี้
โปรดสังเกตว่าในนิทานที่ซ้อนอยู่ภายในหนังเรื่องนี้ ไม่มีตัวร้ายหลักอยู่เลย มีเพียงสัตว์ประหลาดหมาป่าเป็นอุปสรรคในการเดินทางและปฏิบัติภาระกิจของนางเอกเท่านั้น ปัญหาหลักจริงๆ ที่ทำให้นางเอกต้องเดินทางออกจากเมืองน้ำมาที่เมืองมนุษย์ ก็เพราะมนุษย์ไม่ยอมฟังมนุษย์น้ำ หรือไม่ยอมฟังเรื่องเล่านั่นเอง
สาเหตุที่มนุษย์ไม่ยอมฟังเรื่องเล่า ก็เพราะความเป็นคนรู้มาก เมื่อโตแล้วก็เลยคิดว่าตนเองรู้มาก ไม่อยากฟังเรื่องเล่าซ้ำซาก ไม่ฟังนิทานอีกต่อไป โดยมองว่านิทานเป็นเรื่องน่าเบื่อไปเสีย
นักวิจารณ์หนังได้แสดงออกถึงความเป็นคนรู้มากตลอดทั้งเรื่อง เขาหงุดหงิดอารมณ์เสียกับผู้คนในอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ และมีอยู่ฉากหนึ่ง เขาวิพากษ์วิจารณ์หนังที่เพิ่งไปดูมาให้พระเอกฟังว่า ทำไมหนังถึงได้ปัญญาอ่อน ให้นางเอกกับพระเอกยืนพูดกันกลางสายฝน หรือให้นางเอกกับพระเอกคิดออกมาเป็นการพูด เขามองว่าหนังแบบเดิมๆ เหล่านี้น่าเบื่อ
9. ผู้ต่อต้านเรื่องเล่า
กระแสความนิยมในการต่อต้านเรื่องเล่า แสดงออกผ่านตัวพระเอกของเรื่อง เขาเป็นเจ้าของอพาร์ทเมนต์ที่จมอยู่กับความโดดเดี่ยวและความเจ็บปวดในอดีต เขาเคยมีความสุขกับชีวิต มีเมียและลูกอยู่ร่วมกันดี เขาเคยเขียนบันทึกประจำวันเป็นประจำ จนกระทั่งเมียและลูกของเขาถูกคนร้ายฆ่าตาย เขาคิดว่าโลกนี้คือความอยุติธรรม และชีวิตนี้ไม่ได้ดำเนินไปตามเรื่องเล่าที่เขาฟังมาตั้งแต่เด็ก ที่จะต้องจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เขาจึงเลิกเขียนบันทึกประจำวัน และนำสมุดบันทึกไปวางเก็บไว้บนชั้นหนังสือที่ฝุ่นเกาะเกรอะกรัง
ชยามาลานต้องการจะบอกว่า ผู้คนในสังคมร่วมสมัยก็เป็นแบบเดียวกับพระเอกนี่แหละ คือเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราพบว่าโลกนี้โหดร้ายและเราไม่ได้มีความสุขเหมือนในนิทาน เราจึงอยากจะต่อต้านนิทาน ต่อต้านเรื่องเล่ากันเหลือเกิน
ความคิดแบบนี้เอง ที่สร้างกระแสความนิยมในการต่อต้านเรื่องเล่าในตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา หนังเรื่องไหนหักมุมได้แบบคนดูตกเก้าอี้ หนังที่ล้อเลียนล้อเล่นกับเจ้าชายเจ้าหญิงในนิทาน หรือหนังที่เล่าเรื่องซับซ้อนไม่เรียงลำดับเวลา ถือว่าเป็นหนังดีแห่งยุคสมัย
10. การกำหนดตัวผู้ช่วยเหลือครั้งแรก
พระเอกไปขอให้นักวิจารณ์หนังช่วย เพราะคิดว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องเล่า นักวิจารณ์หนังใช้ความรู้มาก คิดซับซ้อน จนทำให้ชี้ตัวผู้ช่วยเหลือผิดหมด
- Healer น่าจะเป็นผู้หญิง ที่ดูมีพลังแห่งชีวิตอยู่
- Guild น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ชอบทำตัวไร้สาระไปวันๆ
- Symbolist น่าจะเป็นคนที่ชอบมองหารูปแบบในทุกเรื่องรอบตัว เช่นเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้
- Guardian นี่พระเอกของเรื่องตีขลุมไปเอง ว่าคือตนเอง
11. การกำหนดตัวผู้ช่วยเหลือครั้งที่สอง
เมื่อตัดเอาความรู้มากออกไป และย้อนกลับไปหาคุณค่าเดิมๆ ของเรื่องเล่า คิดแบบง่ายๆ เรียบง่าย ไม่ต้องซับซ้อน ก็จะพบตัวผู้ช่วยเหลือที่แท้จริง
- Healer คือตัวพระเอกเองนั่นแหละ
- Guild คือผู้หญิงที่เป็นพี่น้องกันที่โผล่มาให้เห็นตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง
- Symbolist คือเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่มองหารหัสจากกล่องซีเรียล
- Guardian คือผู้ชายกล้ามใหญ่แขนเดียวที่โผล่มาตอนต้นเรื่อง
12. ความตายของนักวิจารณ์
ฉากไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ฉากการตายของนักวิจารณ์ เขาวิ่งหนีสัตว์ประหลาดหมาป่าเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ แล้วจู่ๆ ไฟก็ดับๆ ติดๆ มีเสียงเพลงซาวนด์แทร็กประกอบแบบเขย่าขวัญ เขาเดินย่องๆ อยู่คนเดียว และก็เริ่มพูดวิพากษ์วิจารณ์หนังเขย่าขวัญ ว่าเขารู้ดีว่าหนังแนวนี้ทำอย่างไรให้คนดูกลัว ตัวละครจะต้องทำเรื่องโง่ๆ และก็ต้องตายอย่างสยดสยองในที่สุด
เขาทำเป็นรู้มาก ว่าในฉากแบบนี้ สัตว์ประหลาดจะโผล่ออกมาให้ตกใจ แล้วตัวละครในหนังเขย่าขวัญทั่วไปจะแหกปากร้องโวยวายและวิ่งหนี แล้วก็จะโดนจับกินในที่สุด เขาจึงจะไม่ร้องโวยวายและจะไม่วิ่งหนี แต่จะจ้องตาสัตว์ประหลาดเอาไว้
แต่ในที่สุด ความรู้มากนั่นแหละ ที่ฆ่าเขา
13. จบ
ฉากจบเรื่องก็ไม่มีอะไรเลย สตอรี่ นางเอกของเราก็เดินทางกลับเมืองน้ำของเธอได้สำเร็จ ภาระกิจของเธอก็ลุล่วง นักเขียนหนุ่มได้แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสืออันยิ่งใหญ่ของเขา และชีวิตของผู้คนในอพาร์ทเมนต์ก็ดำเนินต่อไป พร้อมกับที่ทุกคนได้บทเรียนสำคัญ ได้รับประสบการณ์ที่เหนือจินตนาการ และได้ค้นพบคุณค่าของนิทานก่อนนอน
แค่นี้เอง ! ไม่ได้มีหักมุม ไม่ได้เล่าเรื่องแบบยอกย้อนซับซ้อน ไม่ได้ล้อเลียนตัวละครในเทพนิยาย พระเอกนางเอกไม่ได้ตายตอนจบ พระเอกไม่ใช่ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา ทุกอย่างเป็นไปตามนิทานง่ายๆ เรียบๆ
และชยามาลานก็ถูกนักวิจารณ์ด่ายับอีกครั้ง
Sunday, January 11, 2009
เส้นโค้งของความสุข
อันนี้ไม่ได้คิดเองนะครับ จำเขามาอีกที เท่าที่ผมคุ้นๆ จำไม่ได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหน พอดีเห็นคุณ commonperson กล่าวถึง ผมเลยลองวาดให้ดูเป็นตัวอย่าง พอเป็นไอเดียคร่าวๆ ว่าเส้นโค้งของความสุข มีลักษณะเป็นชามคว่ำ แกน X แทนปริมาณความสุข แกน Y แทนปริมาณวัตถุที่เราครอบครอง
...
ระยะ Y0-Y1 เส้นกราฟจะมีความชันมาก แสดงให้เห็นว่าการครอบครองวัตถุในระยะแรกๆ จะทำให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เปรียบได้กับคนที่ไม่เคยมีอะไรเลย กลายเป็นคนที่พอมีพอกิน มีในปริมาณที่พอเพียงต่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอด
ระยะ Y1-Y2 เส้นกราฟมีความชันลดลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าการครอบครองวัตถุที่มากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้นได้ แต่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยลงเรื่อยๆ เปรียบได้กับคนที่พอมีพอกินแล้ว แต่ยังหาวัตถุฟุ่มเฟือยมาใส่ตัวเพิ่มขึ้น เขามีความสุขเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสมัยที่ไม่มีอะไรเลย
ระยะ Y2-Y3 เส้นกราฟมีไม่มีความชัน หรือความชัน = 0 แสดงให้เห็นว่าความสุขของมนุษย์มีขีดจำกัด ถึงแม้จะรวยร้อยล้านพันล้าน เมื่อหิวก็กินได้มากแค่อิ่ม เมื่อง่วงก็นอนได้มากแค่ตื่น แท้จริงแล้วเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความต้องการพื้นฐาน กินขี้ปี้นอน และปัจจัยสี่ ผมว่าระยะ Y2-Y3 คือระยะที่พวกเราส่วนใหญ่กำลังเป็นกันอยู่ ระยะนี้ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและง่วงเหงา
ระยะ Y3-Y4 เส้นกราฟมีความชันติดลบ แสดงให้เห็นว่าการครอบครองและหมกมุ่นกับวัตถุมากเกินไป ก็ทำให้คนเราเป็นทุกข์ กลัวขโมย กลัวไฟไหม้ กลัวเสียหาย ทุกข์เพราะยังมีน้อยเกินไป ทุกข์ว่ายังไม่พอ ทุกข์ว่ามีน้อยกว่าคนอื่น ทุกข์ว่าคนอื่นมีดีกว่า ทุกข์ว่าจะโดนคนอื่นแย่งไป
หนังเรื่อง 13 เกมสยอง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องเส้นโค้งแห่งความสุข เอาไว้ว่างๆ จะมาวิจารณ์ 13 เกมสยอง แบบเป็นตุเป็นตะให้ดูกัน
...
ความสุขและความสำเร็จ
...
วันนี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีห้า เพราะอากาศหนาวมาก หนาวจนตัวสั่นนอนต่อไม่ไหว เลยลุกขึ้นมาชงกาแฟและเปิดทีวีดูแก้เซ็ง ผมไม่ได้ดูรายการทีวีตอนเช้ามืดแบบนี้มานานมากแล้ว และยิ่งเป็นเช้ามืดของวันอาทิตย์เสียด้วย กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเปลี่ยนช่องมา ก็เห็นว่ามันมีรายการนำเที่ยวก๊อกๆ แก๊กๆ รายการสารคดีเอามารีรัน รายการข่าวเช้ามืด ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไร แล้วเปลี่ยนช่องก็มาเจอรายการนี้ เออเนอะ มันมีรายการแบบนี้ด้วยแฮะ! ทางช่อง 9 อสมท.
มันเป็นรายการธรรมะแนวพาไปเที่ยวไหว้พระตามวัดโน้นวัดนี้หลายๆ วัด ตอนต้นรายการนำไปเที่ยววัดอินทร์ตรงบางขุนพรหม มีการเล่าประวัติการก่อสร้างหลวงพ่อโตที่วัดนั้นเล็กน้อย แล้วพอมาถึงช่วงท้ายของรายการ ก็มาถึงคิวของวัดอะไรสักอย่าง มาดูกันสิ ว่าวัดนี้มีอะไรให้ชาวพุทธอย่างเราไปกราบไหว้กัน ... รูปปั้นพระพิฆเนศขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ... ผมไม่แน่ใจว่ารูปปั้นนี้ตั้งอยู่ในวัดหรือเปล่า แต่คิดว่ามันคงตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้ๆ กับวัด และมีพระจากวัดมาคอยดูแลผลประโยชน์
รายละเอียดมาแล้ว! หลวงพ่อองค์นี้มาพูดโฆษณาเชิญชวนให้ชาวพุทธมากราบไหว้ขอพรจากพระพิฆเนศ มีรายละเอียดของสถานที่ลงไว้ให้ และมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อด้วย ... อืมมม ... ผมไม่ได้จะดูหมิ่นศาสนาฮินดูและศาสนาพราห์ม และไม่ได้จะลบหลู่รูปปั้นพระพิฆเนศ แค่อยากจะบอกว่าศาสนาพุทธนั้นแตกต่างจากศาสนาฮินดูและพราห์มอย่างมาก แตกต่างกันตั้งแต่ในระดับรากฐานของปรัชญา พระพุทธเจ้าค้นพบสัจธรรมและสั่งสอนมนุษยชาติมานานกว่า 2,500 ปี และคำสอนของศาสนาพุทธก็พยายามชี้ให้เราแยกออกจากศาสนาฮินดูและพราห์มมานานแสนนาน แต่ดูเหมือนว่า 2,500 ปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้เรายังไม่ได้เรียนรู้อะไรกันเลย แม้กระทั่งพระสงฆ์ห่มผ้าเหลือง ยังมาเชิญชวนให้ชาวพุทธย้อนกลับไปกราบไหว้รูปปั้นและทำพิธีกรรมรกรุงรัง เราไม่ได้เข้าใจปรัชญาของศาสนากันอย่างลึกซึ้ง และนำมันมาปะปนกัน ซึ่งผมเชื่อว่าในท้ายที่สุด จะนำเราไปสู่ความเสื่อม ศาสนาก็เสื่อม และสังคมก็จะเสื่อม
ตอนจบรายการภาพตัดมาที่พิธีกรสองสาว พวกเธอกล่าวสรุปเรื่องธรรมะประจำวันนี้ ว่าขอให้ผู้ชมไปร่วมกันกราบพระพิฆเนศเพื่อขอพรให้ชีวิตมีความสุข เพราะพระพิฆเนศเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ
ความเสื่อมของศาสนาพุทธในสังคมไทย และความเสื่อมของสังคมไทยในปัจจุบัน ผมคิดว่ามันมาจากความสับสนและไม่รู้ใน 2 เรื่อง คือ 1. แนวความคิดเรื่องความสุข และ 2. แนวความคิดเรื่องความสำเร็จ
1. ในยุคสมัยที่คนไทยเราไขว่คว้าหาความสุขกันเหลือเกิน ศาสนาพุทธจะยิ่งเสื่อมลง
เพราะศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เราไขว่คว้าหาความสุข แต่สอนให้เรารู้เหตุแห่งทุกข์และหาวิธีพ้นทุกข์ - การหาความสุขนั้นแตกต่างจากการหาวิธีพ้นทุกข์ อันนี้คุณ commonperson ได้เคยแนะนำเอาไว้ว่า ... "ในทัศนะของผมหน่ะครับ เพราะพระพุทธเจ้าทรงมองเห็นว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ ในอริยสัจจ์ก็ทรงเอาทุกข์มาตั้งไว้ก่อน ในทางพุทธศาสนาบอกไว้ว่าสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ในบทสวดทำวัตรเช้าก็มีบทสวดที่แปลแล้วมีความหมายประมาณว่าเราเป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ทำไฉนที่สุดแห่งทุกข์จะบังเกิดแก่เราได้ เพราะทุกอย่างอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา / หลวงพ่อเทียนบอกว่าความสุขไม่มีหรอกความสุขที่จริงมันก็คือทุกข์น้อย / ลองหาบทความเรื่องเส้นโค้งของความสุขมาอ่านผมคิดว่าจะเข้าใจเรื่องความสุขได้ดีขึ้นนะครับ / หลวงพ่อชาบอกว่าความสุขความทุกข์มันก็เหมือนเราไปจับงูนั่นแหละความสุขคือเราไปจับงูที่หางซึ่งคิดว่าไม่มีอะไรแต่พอเราเผลองูก็แว้งมากัดเรา แต่ความทุกข์เราไปจับงูที่หัวเราก็โดนงูกัดเลย ประมาณนี้อ่ะครับ / ณรงค์พัวฯยังบอกว่า ในยามที่ท่านมีความสุข จงอย่าลืมความทุกข์ที่รอสบตาท่านอยู่อย่าอดทน และถ้าความสุขเป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืนมนุษย์ก็ยังต้องทุกข์เพราะสำลักความสุขอยู่ดี ผมก็ความรู้น้อย ขอแสดงความเห็นแค่นี้นะครับ"
2. ในยุคสมัยที่คนไทยเรานำเรื่องความสุขมาปะปนกับเรื่องความสำเร็จ สังคมไทยจะยิ่งเสื่อมลง
เพราะมันจะยิ่งนำพาเราให้ห่างออกจากเรื่องจิตใจ แต่จะนำเราไปสู่เรื่องวัตถุและสสาร - ผมมองว่าความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องสัมพัทธ์ที่เราต้องนำไปเปรียบเทียบกับภายนอกตัว อ่านรายละเอียดได้จากบทความเรื่อง "ขอ-เชื่อ-รับ" ที่ผมเขียนวิจารณ์หนังสือเดอะซีเคล็ท http://aloneinthecinema.multiply.com/journal/item/313/313
ผมจะจำแนกเรื่องความสุข ความสำเร็จ และสิ่งที่ศาสนาพุทธมุ่งสอนให้เห็นอย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้
ความสำเร็จ - เพิ่งเกิดขึ้นในสังคมร่วมสมัย เป็นยุคสมัยที่สังคมให้ความสำคัญกับวัตถุมากขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ความโลภ กิเลส การแก่งแย่งแข่งขัน และนำตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งภายนอกตัว คำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับความสำเร็จจะพบเห็นได้ตามหนังสือแนว How-to ทั่วไป
ความสุข - เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งกว่าความสำเร็จ พบเห็นได้ในแนวความคิดของศาสนาส่วนใหญ่ที่มีความเก่าแก่มากๆ รวมไปถึงศาสนาพุทธบางนิกาย เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย และความมั่นคงทางอารมณ์ของมนุษย์
ความทุกข์ - เป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธมุ่งสอน ผมเองก็ยังไม่มีความรู้มากพอที่จะนำมาอธิบาย ณ ที่นี้ ขอเว้นไว้ให้ผู้รู้มาช่วยกันอภิปรายต่อ
...
Friday, January 02, 2009
แบรนด์ซุปไก่ - Reification
...
ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผมเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตกี่แห่งๆ ก็เห็นแต่ซุปไก่สกัดและรังนก วางกองขายกันพะเนินเทินทึก ตั้งแต่ปากทางเข็นรถเข้าไป เรื่อยไปตามมุมต่างๆ เชลฟ์ต่างๆ ยาวไปจนถึงแคชเชียร์ทางออก เขาเอามาวางจัดเป็นกระเช้าบ้าง ห่อเป็นของขวัญบ้าง กระเช้าหนึ่งของกล่องหนึ่งก็ราคา 6-7 ร้อยบาทเป็นอย่างต่ำ อันที่แพงๆ ก็ 1-2 พันบาทเลยก็มี ราวกับว่าบ้านนี้เมืองนี้เราใช้ซุปไก่สกัดและรังนก เป็นของขวัญให้กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซุปไก่สกัดและรังนกกลายเป็น Currency หรือเป็นตัวกลางที่เราใช้แทนการให้ของขวัญกันไปแล้วหรืออย่างไร?
มีคอนเซ็ปต์หนึ่งของพวกมาร์กซิสม์ เรื่อง Reification ใช้อธิบายเรื่องซุปไก่สกัดและรังนกในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้พอดีเป๊ะ ลองมาทำความเข้าใจเรื่อง Reification โดยเอาโฆษณาแบรนด์ปีใหม่เป็นกรณีตัวอย่าง
1. เริ่มต้นจากความหมายของคำว่า Reification คือการทำให้ความคิดกลายเป็นวัตถุ หรือการทำให้นามธรรมกลายเป็นรูปธรรม โดยวัตถุนี้เหมือนกับมีชีวิต มีคุณค่า มีอุดมคติ มีพลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกับความคิดหรือนามธรรมนั้นบรรจุอยู่ข้างใน ในกรณีของโฆษณาแบรนด์ปีใหม่ คือการทำให้ความคิดเรื่อง "การให้" "ของขวัญ" "เทศกาลปีใหม่" "ความสุข" กลายเป็นรูปธรรมหรือวัตถุ ซึ่งก็คือสินค้าซุปไก่สกัดและรังนกนั่นเอง
ตอนเริ่มต้นโฆษณา เราจะได้ยินเสียงคำบรรยายโดย แพท สุทธาสินี ว่า "แพทว่าปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์นะคะ" พร้อมๆ กับเสียงพูดนั้น เราจะได้เห็นภาพกล่องของขวัญสีแดงสด --> เชื่อมโยงมาสู่ตัวผู้พูดคือแพท สุทธาสินี ในชุดเดรสสีแดงสด --> เชื่อมโยงไปสู่เหตุการณ์แรกในโฆษณา คือเด็กนักศึกษาสาวกำลังยื่นแบรนด์รังนกให้เป็นของขวัญแก่ตำรวจจราจร แน่นอนว่ากล่องแบรนด์รังนกนั้นสีแดงสด การใช้สีแดงอย่างต่อเนื่อง จากของขวัญ - ตัวผู้พูด - สินค้า เป็นการบรรจุนามธรรมเข้าไปในสินค้า โดยการบอกกล่าวอย่างชัดเจน โจ่งแจ้ง
2. นอกจากวิธีการบอกกล่าวอย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง อย่างที่เราเห็นในข้อ 1. แล้ว การ Reification ยังทำแบบปกปิดซ่อนเร้นก็ได้ ด้วยการแอบนำวัตถุนี้ออกมาจากบริบทดั้งเดิมของมัน แล้วนำไปใส่ไว้ในอีกบริบทหนึ่ง ทำให้มันขาดความเชื่อมโยงจากความหมายดั้งเดิม เพื่อที่จะได้กำหนดความหมายใหม่ใส่เข้าไป โดยเป็นความหมายไม่เคยมีอยู่ในตัวมัน
ในกรณีนี้ "ซุปไก่สกัดและรังนก" มันได้ถูกแยกออกมาจาก "ไก่และนกนางแอ่น" อย่างสิ้นเชิงมานานหลายปีแล้ว เท่าที่จำได้ ผมว่าตอนเด็กๆ ผมเคยเห็นโฆษณารังนกยี่ห้อ "สก็อตซ์" ที่นำเสนอภาพการเก็บรังนกแท้ๆ จากธรรมชาติมาบรรจุกล่อง และบนกล่องของแบรนด์ซุปไก่สมัยก่อน ก็เคยมีรูปกราฟฟิกเป็นตัวไก่อยู่ แต่ในปัจจุบัน ไก่และนกถูกแยกออกไป เราจึงเห็นโฆษณาซุปไก่และรังนกที่มีแต่ภาพคนกินแล้ว "ฉลาดเป็นอัจฉริยะ" และ "หล่อสวยหน้าเด้ง" และบนกล่องก็ไม่มีรูปไก่อีกต่อไป
การแยกซุปไก่สกัดและรังนกออกจากบริบทดั้งเดิมของมัน ทำให้ผู้บริโภค (บางคน ซึ่งผมว่าส่วนใหญ่) เลิกตั้งคำถามกับเรื่องคุณค่าทางอาหารและการมีอยู่จริงของสารอาหารภายใน "ซุปไก่สกัดและรังนก" เพราะว่ามันได้มีพลังใหม่บรรจุอยู่ภายในแล้ว ขึ้นอยู่กับว่านักการตลาดจะใส่พลังอะไรเข้าไป เช่น พลังอัจฉริยะ (โต๋ ศักดิ์สิทธิ์) พลังหล่อสวยหน้าเด้ง (ดูดู๊ดูดูเธอทำ) และในกรณีโฆษณาแบรนด์ปีใหม่ ก็คือ พลังมหัศจรรย์ปีใหม่
ซุปไก่และรังนกถูกนำไปจัดกระเช้า และผูกโบว์ให้กลายเป็นของขวัญปีใหม่ เราไม่ได้เห็นไก่และนกนางแอ่น ไม่ได้เห็นกระบวนการผลิต ไม่ได้รับข้อมูลการโฆษณาเกี่ยวกับสรรพคุณ รสชาติ ข้อดีของสินค้า หรือรายละเอียดสารอาหารใดๆ เลย เห็นแต่การที่มันกลายเป็นของขวัญ น่าแปลกไหมล่ะ ที่สินค้าราคาตั้งหลายร้อยหลายพัน แต่ไม่ระบุสรรพคุณใดๆ เลยในโฆษณา ลองสังเกตดูสิ
3. การทำ Reification ในข้อ 1. และ ข้อ 2. จำเป็นต้องทำซ้ำๆ ตอกย้ำ นำเสนอบ่อยๆ และต้องแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในสังคม ยอมรับ Reification นี้ตรงกันหมด เราจึงได้เห็นโฆษณาแบรนด์ปีใหม่อัดแน่นเต็มเหยียดตลอดเดือนธันวาคม ไม่ว่าจะเปิดทีวีไปช่องไหน รายการใด ช่วงเวลาใด ก็เห็นแต่โฆษณาชิ้นนี้
โดยนำเสนอภาพคนกลุ่มต่างๆ แสดงการให้แบรนด์เป็นของขวัญกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ภาพแสดงการให้ของขวัญของเด็กนักศึกษา ตำรวจจราจร พนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร โปรดิวเซอร์ นักดนตรี ลูกหลาน ญาติผู้ใหญ่ ฯลฯ ภายในโฆษณาความยาว 45 นาที มีการเอ่ยคำว่า "ปีใหม่" ถึง 8 ครั้ง
นอกจากนี้ยังพูดถึงเรื่องนามธรรมและอุดมคติเกี่ยวกับการให้ ความสุข ฯลฯ ผ่านปากของพรีเซนเตอร์ที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียง มีภาพลักษณ์ตรงกับการตลาดของสินค้า ในกรณีนี้คือ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ และ แพท สุทธาสินี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
"ทุกคนต่างเลือกสิ่งดีๆ เพื่อคนอื่น" ... "แล้ววันนี้ เราก็ได้รับรู้ความสุขของการเป็นผู้ให้" บลา บลา บลา
4. ตอนจบของโฆษณา นำเสนอภาพตัวละครที่เป็นเด็กเล็ก เพื่อจะบอกคนดูว่าแม้กระทั่งเด็ก 4-5 ขวบ ยังยอมรับใน Reification นี้เลย Reification นี้เข้าใจง่าย เข้าใจร่วมกันทุกคนในสังคม
ซุปไก่สกัดและรังนก จึงไม่ใช่แค่ซุปไก่สกัดและรังนกอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการแช่แข็ง ควบแน่น และตกผลึก เรื่องนามธรรมเกี่ยวกับการให้ของขวัญปีใหม่ ไม่น่าแปลกใจที่ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ จะมีซุปไก่สกัดและรังนกวางขายกันมากมายขนาดนี้ เพราะในทุกวันนี้ ซุปไก่สกัดและรังนกมีความหมายถึงการให้ของขวัญในเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว ใครจะให้ของขวัญใคร และคิดไม่ออกว่าจะให้อะไรดี ก็คว้าซุปไก่และรังนกพวกนี้ไปให้กัน คนให้และคนรับเข้าใจตรงกันว่าสิ่งนี้คืออะไร
5. "มอบแบรนด์ปีใหม่ ร่วมสมทบทุนมูลนิธิแพทย์อาสา พอ.สว." เป็นการพยายามเข้าถึงสุดยอดของอุดมคติเกี่ยวกับการให้ ด้วยการอ้างอิงเข้ากับสถาบันหลักในสังคม ข้อนี้ขอเขียนสั้นๆ แค่นี้พอครับ จบ
...