...
กำลังจะพ้นปี 2000 ไปแล้ว โลกก็ยังไม่เห็นจะแตกดับ หรือมีเหตุการณ์อะไรน่าระทึกใจเสียที ตกลงว่าปี 2000 หรือ 2001 กันแน่ ที่เป็นจุดเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ หรือว่าต้องรอให้ถึงปี 2001 จึงจะมีอะไรเกิดขึ้นมา
วันคืนก็ยังหมุนเวียนผ่านไปเหมือนเดิม การตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 1 มกราคม 2000 จะต่างจากการตื่นขึ้นในเช้าวันอื่นอย่างไร หรือว่าต้องตื่นขึ้นในเช้าของวันที่ 1 มกราคม 2001 จึงจะมีอะไรใหม่ๆ มาสู่ชีวิต เพราะถือว่าเป็นสหัสวรรษใหม่ที่แท้จริง
สหัสวรรษเก่าหรือใหม่ที่แท้จริงมีอยู่จริงหรือเปล่า ?
"ความจริง" ตามธรรมชาตินั้นมีอยู่ โลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน ดวงจันทร์โคจรรอบโลกทำให้เกิดข้างขึ้นและข้างแรม โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูร้อนและฤดูหนาว
แต่วันเก่าหรือใหม่ เดือนเก่าหรือใหม่ ปีเก่าหรือใหม่ ศตวรรษเก่าหรือใหม่ สหัสวรรษเก่าหรือใหม่ ฯลฯ ความคิดเรื่องของเก่าหรือใหม่ และเรื่องวัน เดือน ปี อาจจะเพียงแค่เกิดขึ้นมาจากความคิดของคนเราเอง เพียงแค่คนเราเองเท่านั้นที่รับรู้ พินิจพิจารณาเรื่องความเปลี่ยนแปลง และให้คุณค่ากับสรรพสิ่งต่างๆ รอบตัว
มนุษย์ยุคหินคงจะไม่ตื่นเต้นกับปีใหม่นักหรอก เพราะเขายังนับเวลา นับวันเดือนปีไม่เป็น สำหรับพวกเขาจึงมีเพียงกลางคืนกลางวัน มืดสว่าง รู้สึกร้อนรู้สึกหนาว เขาคงดีใจในยามพระอาทิตย์ขึ้น ที่แสงสว่างมาขับไล่ความมืดมนนนทกาลและอากาศที่หนาวเย็นให้จางไป
สำหรับมนุษย์ที่สายตาไม่สามารถมองเห็นในความมืด กลางคืนจึงกลายเป็นที่น่าสะพรึงกลัว งูเงี้ยวเขี้ยวขอ สิงสาราสัตว์ออกหากิน จินตนาการเรื่องภูติผีปีศาจ ตำนานความเชื่อ นิทานปรัมปราสารพัดก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากแนวความคิดนี้ทั้งสิ้น
แต่สำหรับค้างคาวหรือสัตว์ที่ออกหากินกลางคืน กลางคืนคือความเริงร่า มันสามารถบินออกจากถ้ำที่เอาไว้ใช้หลบแสงอาทิตย์ที่แสบตา พวกมันมองเห็นด้วยคลื่นเสียง ไม่ได้ใช้ดวงตา กลางวันจึงกลับกลายเป็นเวลาที่น่าหวาดกลัว
ดังนั้น ความรู้สึกดีใจ-เสียใจ เริงร่า-หวาดกลัว ตื่นเต้น-เฉยๆ จึงเกิดขึ้นมาจากการรับรู้ของแต่ละ "ตน" "ความจริง" ตามธรรมชาตินั้นมีอยู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแต่ละ "ตน" จะรับรู้มันอย่างไร และให้คุณค่ากับมันอย่างไร
แนวความคิดเรื่อง "เวลา" เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อมนุษย์ต้องการจะทำความตกลง ความเข้าใจร่วมกัน และต้องการเข้าไปกำหนดอธิบายให้กับธรรมชาติในทุกเรื่อง เมื่อไรจะสว่างหรือมืด เมื่อไรจะร้อนหรือหนาว เมื่อมนุษย์เข้าใจธรรมชาติได้ มนุษย์ก็จะจัดการควบคุมธรรมชาติได้
นาฬิกาเป็นเทคโนโลยีชิ้นแรกๆ ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้แนวความคิดเรื่องเวลากลายเป็นรูปธรรม ความคิดว่าเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ ดึก กลายเป็นภาพชัดขึ้นเมื่อแสดงออกมาให้เห็นเป็นเข็มชี้หรือตัวเลข
นาฬิกาเป็นตัวแทนของแนวความคิดเรื่องเวลา
ในขณะที่แนวความคิดเรื่องเวลาเป็นตัวแทนของความจริงตามธรรมชาติ
ทุกวันนี้เราละทิ้งความจริงตามธรรมชาติ แต่กลับมุ่งเข้าหานาฬิกา เราคิดว่านาฬิกาให้ความจริงที่แท้กับเราได้ การแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า จะยังไม่ทำให้เราเข้าใจโลกและธรรมชาติอย่างถึงที่สุด เราคิดว่าเราจำเป็นต้องยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา จึงจะเข้าใจโลกและธรรมชาติ
นาฬิกาถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีชิ้นสำคัญ ที่ก่อให้เกิดรูปแบบสังคมอย่างในปัจจุบัน ทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ของสังคม ยึดโยงกันเอาไว้ และขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมยุคอุตสาหกรรม ที่ทุกอย่างต้อง SYNCHRONIZE กัน เหมือนสายการผลิตในโรงงาน
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาทราย นาฬิกาแดด หรือการเอากะลามาเจาะรูเพื่อจับเวลา เรื่อยไปจนถึงนาฬิกาบนยอดตึกใบหยกทาวเวอร์
ในค่ำคืนของวันที่ 31-12-99 ที่ผู้คนนับหมื่นนับแสน ไปยืนเบียดเสียดเยียดยัด บนถนนราชดำริ เพื่อแหงนหน้าจับจ้องมองนาฬิกา และร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลองกันใหญ่โต นั่นเป็นเพราะว่า ตัวเลข 00:00 ของวันที่ 01-01-00 ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายพิเศษขึ้นมา
ที่น่าตลกก็คือ เมื่อเดินถัดจากบริเวณหน้าตึกใบหยก ไปอีกเพียง 1 ป้ายรถเมล์ ก็มีนาฬิกาเรือนใหญ่อีกเรือนที่หน้าตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ แต่มันบอกเวลาที่ช้ากว่ากัน 5 วินาที และก็มีผู้คนอีกกลุ่มมหึมากำลังเฮฮากันอยู่
ผู้คนมองนาฬิกาที่หน้าเวิลด์เทรดเซนเตอร์ แล้วมองไปที่ยอดตึกใบหยกทาวเวอร์ กลับเห็นเวลาต่างกัน บางทีการมีนาฬิกาสองเรือน ก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้เวลาที่แน่ชัดขึ้น เพราะว่ามันไม่มีเวลา เวลาเป็นเพียงแค่แนวความคิด
พิธีกรหนุ่มบนเวทีการแสดงที่หน้าตึกเวิล์ดเทรด เริ่มนับถอยหลัง 10-9-8 ... แต่ผู้คนบนท้องถนนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาตั้งใจจะมาฉลองการก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่กันเต็มที่ แต่กลับไม่รู้ว่า เมื่อไรคือ 00:00 ของ 01-01-00 แน่ๆ เพราะเขาเห็นนาฬิกาสองเรือนที่บอกเวลาต่างกัน
ในคืนนั้น คนที่หน้าเวิลด์เทรดเลยได้ร้องไชโยฉลองสหัสวรรษใหม่ปลอมๆ กันสองที เพราะนาฬิกาบนตึกใบหยกนั้นถึง 00:00 ก่อนหน้านั้นเพียงอึดใจเล็กๆ
เมื่อได้ก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ สมใจอยากกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน ผู้คนเรือนแสนสลายตัว รถติดวินาศสันตะโร เที่ยงคืนดั่งเหมือนเที่ยงวัน เบียดเสียดเยียดยัดกันก่อนที่จะกลับถึงบ้านอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
การตื่นจากหลับไหลบนเตียงนอนนุ่มๆ อุ่นๆ ในห้องปรับอากาศ บนอาคารพักอาศัยอันทันสมัย แสงสลัวๆ เพราะปิดกระจก ปิดม่าน เราไม่มีทางรู้หรอกว่านี่มันกี่โมงแล้ว จนกว่าจะเงยหน้าไปที่หัวเตียงเพื่อดูนาฬิกา เมื่อคืนเราเฉลิมฉลองกันเสียจนเหมือนกับว่า วันนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ
ผมเองก็หลงฉลองแบบนี้มาแล้ว 20 กว่าปี เพื่อที่จะตื่นเช้ามาพบว่าทุกอย่างเหมือนเดิม
ส.ค.ส. ของขวัญ เพลงปีใหม่ ขนมเค้ก เหล้า ดิสโก้เธค ผับ ตักบาตร ทำบุญ แล้วก็มานั่งดูทีวีอย่างสบายอุราในวันหยุดยาวๆ เปิดไปดูการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม งานฉลองสหัสวรรษใหม่จากอเมริกา ที่หน้าตึกไทม์สแควร์ ซึ่งนั่นตรงกับเวลาเที่ยงวันของบ้านเรา
คนอเมริกันกำลังตื่นเต้นดีใจเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ในขณะที่คนไทยนั้นฉลองไปแล้วเมื่อ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้ผมกำลังนอนเซ็งๆ ด้วยความผิดหวัง ใครบอกว่าสหัสวรรษใหม่จะมีอะไรเปลี่ยนไป หรือว่าต้องเป็นสหัสวรรษใหม่ของอเมริกา ? เพราะว่าอเมริกาเป็นศูนย์กลางของโลกเรา ?
ผมดูทีวีไป ก็พลอยตื่นเต้นดีใจไปกับเขาด้วย ลูกโป่งยักษ์ค่อยๆ เลื่อนลง ตัวเลขนาฬิกาเข้าใกล้ 00:00 ผมนับถอยหลัง 10-9-8 ... ด้วยใจระทึก ไม่น่าเชื่อว่าแนวความคิดเรื่องเวลา และเทคโนโลยีนาฬิกา จะมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของผู้คนได้ถึงขนาดนี้
เราสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่ออธิบายแนวความคิด เราสร้างแนวความคิดขึ้นมาเพื่ออธิบายความจริง แต่ในทุกวันนี้เราถอยห่างความจริงออกมาทุกที เพราะเรากลับมัวแต่หลงติดอยู่กับเทคโนโลยี
เทคโนโลยีกำหนดความหมายให้กับสิ่งต่างๆ และสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ปรุงแต่งให้เราหลงลืมความจริงตามธรรมชาติ และติดอยู่กับโครงสร้างใหม่ ยึดโยงแน่นเหนียว และเหมือนจริงเสียจนเราคิดว่ามันจริง
เราถูกกำหนดว่าต้องตื่น 06:00 เข้างาน 09:00 พักกินข้าวเที่ยง 12:00 เลิกงาน 17:00 โดยหลงคิดไปว่านี่คือความจริงของโลก เราตื่นเต้นกับ 00:00 ของวันขึ้นปีใหม่หรือสหัสวรรษใหม่ โดยหลงคิดว่านี่คือความจริงของโลกอีกเช่นกัน
เข็มนาฬิกากระดิกหมุนไปเรื่อยๆ ตัวเลขดิจิตอลก็กระพริบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยไม่ปราณีปราศรัยใดๆ มันไม่มีชีวิตจิตใจ ข้างในมีแต่ลานและฟันเฟือง แต่มันกลับสามารถกำหนดโลกได้ทั้งใบ และผู้คนได้ทั้งโลก
ความจริงตามธรรมชาติทุกอย่างล้วนไร้สาระ ศาสนาพุทธก็มีคำสอนเรื่องไตรลักษณ์มานานนม คืน วัน เดือน ปี ล้วนวนเวียนเปลี่ยนไปไร้ความหมาย
ความสุขที่แท้จริงล้วนเรียบง่าย หิวก็กิน ง่วงก็นอน หนาวก็ห่ม ร้อนก็ถอด ไม่เห็นต้องมายืนรอให้เข็มหรือตัวเลขกำหนดชีวิต
ทุกวินาทีล้วนไร้ความหมาย ไร้สาระเท่าๆ กัน เราจะกำหนดคุณค่าให้มันอย่างไรก็แล้วแต่ใจ เราสามารถเฉลิมฉลองได้ทุกวินาที เท่าๆ กับที่เราสามารถสงบเย็นได้ทุกๆ วินาที
แต่เราลืมไป
...
บทความเก่าเก็บตั้งแต่เมื่อ 9 ปีก่อนโน้นนนน เอาย้อนกลับมาให้เพื่อนๆ อ่านกันเล่นในคืนวันส่งท้ายปีเก่า 2008