ในงานเลี้ยงนี้ จะมีใครสักคนไหม ที่รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของผม
บริกรหลายสิบคน ค่อยๆ เดินลำเลียงเครื่องดื่ม เบียร์ ไวน์ และอาหารจำพวก finger food ใส่มาบนถาดสีเงินแวววาว ออกมาจากหลังฉากของงาน เพื่อให้บริการแก่บรรดาแขกเหรื่อ ที่กำลังยืนชมนิทรรศการภาพถ่ายพอร์เทรต
นอกจากเจ้าภาพของงานแล้ว นับตั้งแต่ประตูทางเข้างาน ผมเดินเข้าไป และเตร็ดเตร่ดูภาพถ่ายจนทั่ว โดยที่ไม่ได้ปริปากพูดคุย หรือแม้แต่กระทั่งหยุดแวะทักทายกับใคร
ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องน่าเศร้า หรือว่าน่าหัวเราะเยาะกันแน่ ทั้งที่มีคนนับร้อยนับพัน กำลังเบียดเสียดอยู่ในสถานที่จัดงานเลี้ยง พวกเขายืนกันเป็นกลุ่มๆ พูดคุยและกินดื่มกันอย่างรื่นเริง แต่กลับไม่มีใครสักคนที่รู้จักผม และผมเองก็ไม่รู้จักใครสักคนเช่นกัน
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงแห่งนี้ เปรียบเหมือนกับแบบจำลองโลกทั้งใบ ที่ผมรับรู้และเข้าใจ อีกทั้งยังรู้สึกแปลกแยกจากมันมาตลอด 32 ปีแห่งชีวิต
ของกินที่กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้สึกอิ่ม เพราะมันถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกลบเกลื่อนความว่างเปล่า ด้วยการประโคมสีสันให้ฉูดฉาด และตกแต่งจัดวางให้น่ากิน
ชนชั้นล่างที่ต้องทำงานเหมือนเครื่องจักรสายพาน เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม ที่ตนเองไม่มีวันได้กิน ให้กับผู้คนที่ตนไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า
ผู้คนมากมาย สวยงาม ดูมีความสุข ส่งยิ้มให้กัน แต่ทุกคนกลับไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ หันหลังให้กับสิ่งที่เป็นเหตุผลในการที่พวกเขามารวมกันอยู่ที่นี่ คือเหล่าภาพถ่ายที่ถูกแขวนอยู่บนฝาผนัง
พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตไปอย่างมีความสุขร่วมกันบนโลกใบนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีผม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใด ที่ผมจำเป็นต้องไปเกี่ยวพันกับพวกเขา และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
ความรู้สึกของการใช้ชีวิตแบบแปลกแยกจากโลก ไม่ไปเกาะเกี่ยวและไม่มีความสัมพันธ์กับใครๆ เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
และมันทำให้คุณไม่สามารถลงหลักปักฐาน ณ ที่แห่งใด และกับผู้ใดได้ คุณต้องเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไปจนถึงวันที่คุณหมดสิ้นเรี่ยวแรง เหมือนนกไร้ขา ที่ต้องทนฝืนบินไปจนถึงวันตาย
ผมเดินเตร็ดเตร่ไปรอบงาน แล้ววนกลับออกมาทางเดิม ตรงประตูทางเข้า เจ้าภาพของงานไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมจึงออกจากงานเลี้ยงไป โดยที่ไม่รู้ว่าจะกล่าวคำร่ำลากับใคร
ถ้าการร่ำลาคือการบอกแจ้งถึงจุดสิ้นสุดของความเกี่ยวพันกัน ในเมื่อผมไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับใคร ดังนั้น ผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร่ำลาใคร มิใช่หรือ?
ชีวิตที่โดดเดี่ยวและไม่เกี่ยวพันกับใครๆ กำลังจะหมดลงไปอีกวัน น่าสงสัยว่าวันพรุ่งนี้ - วันเกิดของผม มันจะยังคงเป็นเช่นนี้อีกไหม ... แค่คิดก็หนาวแล้ว
ผมลองนึกขึ้นมาเล่นๆ ว่าผมจะตกหลุมรัก ใครก็ได้ที่เข้ามาทักทายผมในตอนนี้
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มี SMS ส่งมาถึงผม 1 ข้อความ ผมยกขึ้นมาเปิดอ่าน แล้วเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง อย่างเย็นชา ไร้ความรู้สึก
SMS นั้นเขียนว่า "HAPPY BIRTHDAY TO YOU ของขวัญวันเกิดพิเศษสุดจากใจ ดีแทคให้คุณสุขสันต์กับการใช้เสียงได้เต็มที่ ฉลองวันเกิดด้วยการโทรฟรีทั่วประเทศ ทั้งวัน ทั้งคืน ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บริการแบบรายเดือนที่จดทะเบียนกับดีแทค ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป"
คุณเป็น "คน" เดียวที่จำวันเกิดของผมได้ และตระหนักถึงการมีอยู่บนโลกของผม
***
ที่รับซองจดหมายของอพาร์ตเมนท์แห่งนี้ ถูกจัดแบ่งออกเป็นช่องๆ แยกออกจากกัน เฉพาะสำหรับใส่จดหมายของแต่ละห้อง ในช่องรับจดหมายของผม มีซองจดหมายจากดีแทค สอดอยู่เพียงซองเดียว
เมื่อแกะซองจดหมายก็พบการ์ดอวยพรวันเกิดอยู่ข้างใน "HAPPY BIRTHDAY TO YOU สนุกให้สุดเสียงครับ เพราะมิตรภาพของเรางอกงามยาวนานกว่า 2 ปี ดีแทคจึงขอมอบความสุขให้วันพิเศษของคุณวันนี้ สุขสันต์กว่าวันเกิดในทุกๆ ปีที่ผ่านมา" เนื้อความบนการ์ดเขียนไว้ตามนี้
ผมเดินไปกดปุ่มรอลิฟต์เพียงคนเดียว ตึกอพาร์ตเมนท์แห่งนี้ถึงจะใหญ่โตโอฬาร แต่บรรยากาศมันเงียบเชียบ วังเวง เป็นเหมือนดั่งตึกร้าง ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ในตึกนี้คนเดียว โดยมียามอีกคนหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ตรงประตูทางเข้า
ถึงแม้เราจะไม่เคยคุยกันเลยสักคำ แต่เขาจำผมได้ จึงปล่อยให้เดินเข้ามาในบริเวณอพาร์ตเมนท์ โดยไม่ได้ซักถามหรือขอแลกบัตร เขาจำผู้เช่าห้องที่นี่ได้ทุกคน ด้วยหมายเลขห้องของแต่ละคน ดังนั้น สำหรับเขา ผมคือ "หมายเลข 633" ซึ่งก็คือหมายเลขห้องเช่าของผม
พื้นที่บนชั้น 6 ถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ แยกออกจากกันด้วยฝาผนังปูน กั้นเป็นพื้นที่ห้องรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า เล็กๆ แคบๆ เฉพาะสำหรับผู้เช่าแต่ละคน ไม่ต่างไปจากที่รับซองจดหมายของอพาร์ตเมนท์
เมื่อเข้ามาในห้อง อยู่หลังประตูที่ปิดล็อคกุญแจอย่างมิดชิด บรรยากาศภายในอพาร์ตเมนท์แห่งนี้ เปรียบเหมือนกับแบบจำลองโลกทั้งใบ ที่ผมรับรู้และเข้าใจ อีกทั้งยังรู้สึกแปลกแยกจากมันมาตลอด 32 ปีแห่งชีวิต
มีอยู่เพียงคนเดียวที่ผมมองเห็นเขา และเขาก็มองเห็นผม แต่เรากลับไม่รู้จักกัน ไม่เคยแม้แต่จะพูดคุยกัน อีกทั้งเราต่างฝ่ายก็ลดคุณค่าความเป็นคนของกันและกัน สำหรับผม เขาคือยามคนหนึ่ง และสำหรับเขา ผมคือ 633
ผู้คนมากมายแออัดกันอยู่ภายในตึกสี่เหลี่ยม แต่ผมกลับมองไม่เห็นใครสักคน และไม่มีใครมองเห็นผม เพราะทุกคนล้วนมีกำแพงปูนหนาๆ ปิดกั้นชีวิตเอาไว้
คำว่า "apart + ment" แปลว่าการแบ่งแยก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็หมายถึงสถานที่ที่ผู้คนนับร้อยนับพันใช้เป็นที่อยู่อาศัย และดำเนินชีวิตประจำวันเช่นกัน
เพื่อกลบเกลื่อนความว่างเปล่าของชีวิต ผมพยายามโหมประโคมตกแต่งห้องให้อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสารพัด ทีวี ตู้เย็น ชุดโต๊ะเก้าอี้ทำงาน ฯลฯ ราวกับที่นี่เคยเป็นบ้านเกิด และจะเรือนตาย
วัตถุที่ไม่มีชีวิตเหล่านี้ กลายเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าผู้คนนับร้อยนับพัน ที่อยู่รอบกาย พวกมันกลายเป็นความแน่นอน และความมั่นคงในชีวิต
มันกล่าวทักทายผมทุกเช้าเมื่อตื่นนอน และทุกเย็นเมื่อกลับมาถึงอย่างเหนื่อยอ่อน ห้องนี้มีปฏิสัมพันธ์กับผม และค่อยๆ ดูเหมือนมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ
ก๊อกน้ำที่ไม่มีวันปิดได้สนิท มีน้ำหยดติ๋งๆ ลงในอ่างล้างมือตลอดเวลา ราวกับมันกำลังร้องไห้ ให้กับความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาแบบคนเมือง
ปฏิทินตั้งโต๊ะกล่าวอวยพรวันเกิด มันมีความจำดีที่สุด ในบรรดาสิ่งของต่างๆ ภายในห้อง โดยเฉพาะความจำเกี่ยวกับวันและวันที่ มันรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไร เป็นวันอะไร และรู้แม้กระทั่งว่าวันไหนเป็นวันทำงานหรือวันหยุด
เตียงนอนที่นุ่มนวลและอบอุ่น ราวกับห้องนี้ได้ต่อยื่นส่วนที่เป็นร่างกายของหญิงสาว ออกมาโอบอุ้มร่างกายของผมเอาไว้
คืนนี้ ผมนอนหลับฝันดี โดยมีการ์ดอวยพรวันเกิดใบนั้นวางอยู่แนบอก
***
แด่ผู้หญิงผมทอง และหว่องกาไว
Monday, May 08, 2006
The Aesthetics of Loneliness
Subscribe to:
Posts (Atom)