Friday, February 27, 2009

ดูหนังเป็นตุเป็นตะ - Ip Man

...


หนังกำลังภายในเรื่องล่าสุด Ip Man น่าจะเข้าโรงในอีกไม่นานนี้่แล้ว แต่ตอนนี้หาดูได้ก่อนจากแผ่นผีและโหลดบิททั่วไป ลองมาทำความเข้าใจหนังเรื่องนี้กันทีละฉากๆ


ฉากเปิดเรื่อง

- เปิดเรื่องด้วยภาพของ Wooden Man หรือม้าไม้ อุปกรณ์สำหรับการฝึกมวยหย่งชุน ถือเป็นวัตถุสัญลักษณ์ที่ถูกใช้ซ้ำๆ เพื่อตอกย้ำถึงประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้

- ตัวม้าไม้มีขนาดเท่ากับตัวผู้ฝึก มี 3 แขน 1 ขา และท่อนลำตัว เพื่อใช้แทนร่างกาย อวัยวะ และการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ เมื่อยืนประจันหน้ากับม้าไม้ ก็เหมือนกับการได้ยืนประจันหน้ากับคู่ต่อสู้จริงๆ

- ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังการฝึกมวยหย่งชุนด้วยม้าไม้ คือไม่ว่าผู้ฝึกจะขยับร่างกายไปทางใด ชกหมัด ใช้แขนปัดป้อง หรือใช้ขาเตะถีบ ม้าไม้ก็แปรผันตัวเองตามไป และตอบสนองแรงปฏิกริยากลับมาเท่ากัน ม้าไม้จึงเปรียบเหมือนเป็นกระจกเงา สะท้อนให้ผู้ฝึกเห็นตนเองในฐานะที่เป็นคู่ต่อสู้ของตนเอง

- ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ คือการพัฒนาตนเอง ด้วยการฝึกฝนด้วยตัวเอง และต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา


การประลองยุทธ์ครั้งแรก

- ครูมวยในละแวกบ้านของพระเอก กำลังจะเปิดโรงเรียนสอนมวยแห่งใหม่ จึงมาท้าประลองกับพระเอกเพื่อสร้างชื่อเสียง การประลองยุทธ์ครั้งแรกในหนัง แสดงให้เห็นการประลองกันฉันท์มิตร ก่อนการลงมือ ยังมีการมานั่งกินข้าวกินขนมกันด้วยดี

- การประลองดำเนินไปแบบเบาะๆ เบาๆ ออมมือให้กัน เพียงแค่สัมผัสโดนตัวกันก็ถือว่าชนะหรือแพ้แล้ว สุดท้ายก็จบลงโดยไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น และทั้งสองฝ่ายรับปากกันว่าจะไม่นำผลแพ้ชนะไปเปิดเผยให้บุคคลอื่นรู้

- ฉากการประลองครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นการต่อสู้ระหว่างบุคคลกับบุคคล ครูมวยคนนี้ต้องการพัฒนาตนเอง จึงเลือกใช้วิธีไปท้าประลองกับพระเอก การแพ้ชนะล้วนส่งผลกับตัวบุคคลผู้ประลองเอง เมื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล 2 คน ความเสียหายจึงจำกัดวงแคบ ความโหดร้ายก็ไม่สูงมากนัก


การประลองยุทธ์ครั้งที่สอง

- ครูมวยจากภาคเหนือเดินทางลงมาภาคใต้เพื่อท้าประลองยุทธ์ ลักษณะมวยจากภาคเหนือดูดุดันและเหี้่ยมโหดกว่า มีการกวาดและเหวี่ยงแขนขาเป็นวงกว้าง ในขณะที่มวยภาคใต้มีลักษณะยืดหยุ่นและว่องไว ชกและเตะแบบวงสั้นๆ แคบๆ

- ความเสียหายเริ่มเกิดขึ้นในการประลอง เพื่อแสดงให้คนดูเห็นว่าความรุนแรงในการประลองแต่ละครั้ง จะเพิ่มทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ข้าวของในบ้านพระเอกพังยับเยิน

- เมื่อสู้ด้วยมือเปล่าไม่ได้ ก็ถึงขนาดใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นเอาชนะ

- แต่ตามขนบของหนังจีนกำลังภายใน พระเอกก็เอาความอ่อนสยบความแข็งได้เสมอ บทพูดในช่วงนี้สำคัญมาก
ครูมวยจากภาคเหนือ : วันนี้มวยเหนือพ่ายแพ้แก่มวยใต้
พระเอก : มันไม่ใช่ปัญหาของมวยเหนือหรือมวยใต้ แต่มันเป็นปัญหาของตัวคุณเองต่างหาก
ฉากการประลองครั้งที่สองนี้ สะท้อนให้เห็นชัดเจน ว่าเมื่อคู่ต่อสู้แต่ละฝ่ายมาลงมือประลองกัน โดยอ้างถึงเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง (คือมวยเหนือกับมวยใต้) ความเสียหายจากการต่อสู้จะเพิ่มทวีขึ้น ลองย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับการประลองครั้งแรกดูนะครับ


การประลองครั้งที่สาม

- เรื่องราวดำเนินมาจนถึงช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศจีนในสงครามโลกครั้งที่สอง คนจีนอดอยากและทุกข์ทรมาน แต่ละวันถูกทหารญี่ปุ่นข่มเหงและเข่นฆ่าตายเป็นเบือ ข้าวสารกลายเป็นสิ่งหายาก อาหารที่พระเอกกินประทังชีวิตในแต่ละวัน คือหัวมันต้มสีเหลืองๆ หัวมันต้มและถุงข้าวสารเปื้อนเลือด ถูกนำมาวางเคียงกันและถ่ายแบบโคลสอัพ เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเหตุผลที่พระเอกต้องเข้าประลองในครั้งที่สาม

- เหตุผลของการประลองครั้งนี้ คือเรื่องชาตินิยมนั่นเอง แล้วเรามาดูกันว่า เมื่อเหตุผลขยายใหญ่ขึ้นไปเป็นเรื่องระดับชาติแล้ว การประลองจะเป็นอย่างไร

- กระทืบคอหัก

- หักขา

- หยุดอารมณ์คลุ้มคลั่งแทบไม่ได้

- พระเอกเอาต้นขาหนีบหัวทหารญี่ปุ่นเอาไว้ และกระหน่ำหมัดใส่ลงบนใบหน้าจนเละ

- ความสยดสยองของการประลอง โดยยกเอาเหตุผลที่ยิ่งใหญ่เกินไปมาเป็นข้ออ้าง แม้แต่พระเอกเองยังรู้สึกสำนึกผิด สันหมัดของพระเอกถลอกปอกเปิก แสดงให้เห็นว่าชกเขาแรงเท่าไร ตนเองก็เจ็บปวดมากเท่านั้นเช่นกัน


การประลองครั้งสุดท้าย

- พระเอกถูกบีบบังคับให้ขึ้นประลองกับนายพลญี่ปุ่นต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมาก จุดประสงค์เพื่อทำลายชื่อเสียงของศิลปะการต่อสู้ของจีน ว่าต้องพ่ายแพ้ต่อของญี่ปุ่น โปรดสังเกตว่าเหตุผลของการประลองตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ และเป็นนามธรรมขึ้นเรื่อยๆ
1. การประลองส่วนบุคคล
2. การประลองของมวยเหนือกับมวยใต้
3. การประลองระหว่างชาติที่แพ้สงครามกับชาติที่ชนะสงคราม
4. การประลองระหว่างศิลปะการต่อสู้ของจีนกับของญี่ปุ่น

- การประลองโหดขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อการประลองดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง จู่ๆ พระเอกก็ย้อนกลับเข้าสู่ปรัชญาของการฝึกมวยหย่งชุน

- ภาพในช่วงนี้ ตัดสลับไปมาระหว่างการฝึกมวยด้วยม้าไม้ กับการประลองจริงที่กำลังเกิดขึ้น โปรดสังเกตสีเสื้อผ้าทั้งของพระเอกและของทหารญี่ปุ่น เทียบกับสีของม้าไม้ที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ประเด็นตรงนี้น่าสนใจมาก ในระหว่างการฝึกมวย พระเอกสวมเสื้อสีขาว แต่ในการประลอง พระเอกสวมเสื้อสีดำ ทหารญี่ปุ่นกลับสวมเสื้อขาว

- พระเอกและทหารญี่ปุ่นจึงเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน ฉากนี้แสดงให้เห็นว่า พระเอกชกม้าไม้ไปแรงเท่าไร ม้าไม้ก็สะท้อนแรงกลับมาให้พระเอกเจ็บปวดเท่านั้น พระเอกชกญี่ปุ่นหนักแค่ไหน พระเอกก็เข้าใจความเจ็บปวดได้เท่ากัน

- พระเอกชนะการประลอง แต่เขาตัดสินใจไว้ชีวิตนายทหารญี่ปุ่น เพราะเขาได้เข้าถึงปรัชญาของมวยหย่งชุนแล้ว

- การประลองยุทธ์ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง การชิงดีชิงเด่น สงครามโลก ชาตินิยม ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องไร้สาระ คนเราส่วนใหญ่คิดว่าเราจะเก่งขึ้น ดีขึ้น พัฒนาขึ้น ได้ด้วยการเอาชนะคนอื่น แต่ประเด็นหลักในหนังเรื่อง Ip Man และม้าไม้ที่ถูกใช้เป็นวัตถุสัญลักษณ์ แสดงให้เราเห็นว่า การพัฒนาตนเอง ด้วยการฝึกฝนด้วยตัวเอง และต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา

...

อ่ะนะคะ ...

...


คนนี้ก็ฮาดี ผมชอบมาก เธออ่านข่าวรอบค่ำด้วยสำนวนแปลกๆ ดูเหมือนว่าจะทำให้เป็นการเล่าข่าวมากกว่าการอ่านข่าว เธอเลยเติมคำว่า "อ่ะนะคะ" ตอนท้ายของทุกประโยค

ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้อ่ะนะคะ ทางคณะผู้จัดงานได้จัดเตรียมของชำร่วยที่แสดงให้เห็นความเป็นไทยอ่ะนะคะ อันได้แก่โถเซรามิกอ่ะนะคะ ส่วนเมนูอาหารสำหรับผู้นำประเทศระดับรัฐมนตรีขึ้นไปอ่ะนะคะ มีฉู่ฉี่กุ้งมังกรอ่ะนะคะ อ่ะนะคะ อ่ะนะคะ

...

Thursday, February 26, 2009

ในส่วนของ ...

...

ฟังรายงานข่าวจากผู้สื่อข่าวช่องสามคนนี้แล้วฮาดี ชอบจัง

ในส่วนของการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ในส่วนของการชุมนุมที่กระทรวงต่างประเทศ ในส่วนของแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้นำในส่วนของผู้เข้าร่วมชุมนุมมาร่วมกันในส่วนของการออกกำลังกาย ในส่วนของการ์ดเสื้อแดง ได้เข้าแจ้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าในส่วนของผู้ต้องสงสัยที่จับได้ คือในส่วนของพลทหารนายหนึ่ง ในส่วนของผู้เข้าร่วมการชุมนุมในส่วนของในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในส่วนของรัฐบาลบอกว่าในส่วนของกลุ่มเสื้อแดงไม่สามารถกดดันในส่วนของการประชุมคณะรัฐมนตรี ในส่วนของนายกรัฐมนตรีสามารถเดินทางเข้าไปทำงานในส่วนของทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ ในส่วนของ ในส่วนของ ในส่วนของ ...

...

Saturday, February 21, 2009

ความคิด

...

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา ฉันจะฝากเอาไว้อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

เพลงโดนใจจนน่าขนลุก แสตมป์นี่มันเก่งจริงๆ

...

Friday, February 20, 2009

นมเปรี้ยว (บล็อกรีรัน)

บล็อกเก่า ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2006 เกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมในเมืองไทย ได้รับผลกระทบจากธุรกิจที่ขาดจรรยาบรรณ

...

การประกวดดัชชี่บอยดัชชี่เกิร์ล ประจำปีนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมเพิ่งเห็นโฆษณาของงานนี้ทางโทรทัศน์ช่องไอทีวีเมื่อคืนวาน ปีนี้รูปแบบการประกวดเขาไม่ได้เป็นแบบปีก่อนๆ ที่ให้ไปเดินๆ บนเวที ตอบคำถาม และแสดงเล็กๆ น้อยๆ รูปแบบเดียวกับการประกวดนางงามแล้วครับ แต่เขาเปลี่ยนรูปแบบใหม่ให้กลายเป็นรายการเรียลิตี้โชว์ แล้วให้คนทางบ้านโหวตเข้าไป เหมือนกับพวกประกวดเดอะสตาร์ และเอเอฟ เดี๋ยวนี้รายการอะไรๆ ก็ต้องมีรูปแบบเป็นเรียลิตี้กันทั้งนั้นแล้ว เห็นแล้วตลกดีเหมือนกัน จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจและไม่เคยดูการประกวดดัชชี่ปีที่ผ่านๆ มาหรอก และปีนี้ผมก็ยังคงไม่ได้สนใจจะเปิดไปดู หรือกดโทรศัพท์ไปโหวต แต่ผมอยากจะเขียนถึงมัน เพราะที่บ้านผมมีนมเปรี้ยวอยู่เต็มตู้เย็น เวลาแม่ไปว่างมากๆ แล้วไปเดินบิ๊กซีหรือโลตัสเพื่อฆ่าเวลา แม่มักจะหนีบนมเปรี้ยวกลับมาบ้านทีละ 2-3 แพค แล้วยัดเข้าไปในตู้เย็นทิ้งไว้แบบนั้น

ผมไม่ค่อยชอบกินนมเปรี้ยวพวกนี้เท่าไร นอกจากเวลาที่ในตู้เย็นไม่มีขนมอะไรอย่างอื่นเหลือให้กิน ผมก็มักจะหยิบมันมาเสียบหลอดดูด กินเล่นเป็นของหวานหลังอาหาร เหตุที่ผมไม่ชอบกินนมเปรี้ยวพวกนี้ ก็เพราะรู้ๆ อยู่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรต่อร่างกายสักเท่าไร ถึงแม้มันจะขึ้นชื่อว่า "นมเปรี้ยว" แต่ถ้าคุณลองอ่านฉลากข้างกล่อง เพื่อดูส่วนผสมอย่างละเอียด คุณก็จะเห็นว่ามันมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมเพียงแค่ 50% เท่านั้นเอง ที่เหลือเป็นน้ำผลไม้ และน้ำตาลทราย บวกรวมกันแล้วยังไม่ถึง 100% เลยครับ สงสัยว่าส่วนเปอร์เซนต์ที่หายไปไม่ระบุ คงจะเป็นน้ำเปล่าและพวกสารเคมีแต่งกลิ่นรสนั่นเอง สรุปว่ากินนมเปรี้ยวกล่องเล็กๆ ราคา 8-10 บาท 1 กล่อง เราจะได้คุณค่าจากน้ำนมเพียงแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือเป็นน้ำตาลและน้ำเปล่า โดยบริษัทผู้ผลิตยังคงสามารถโฆษณาเรียกสินค้านี้ว่านมเปรี้ยวได้อย่างไม่กระดากปาก ไม่ละอายใจ

ไม่ใช่เฉพาะนมเปรี้ยวยี่ห้อดัชมิลล์นะครับ ที่มีส่วนผสมของน้ำนมแค่ครึ่งเดียว นมเปรี้ยวยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาดตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนองโพ โยโมสต์ แม้กระทั่งยาคูลท์ ก็มีส่วนผสมของน้ำนมประมาณใกล้เคียงกันนี้ หรืออาจจะมีมากกว่านิดหน่อย โดยทุกยี่ห้อก็ยังเรียกตัวเองว่านมเปรี้ยว และวางขายสินค้าตัวเองบนชั้นวางในหมวดอาหารนม ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป และไม่ใช่เฉพาะนมเปรี้ยวแบบกล่องๆ พวกนี้นะครับ คุณลองสังเกตโยเกิร์ตแบบเป็นครีมข้นๆ ใส่ถ้วย ที่วางขายกันเกลื่อนซูเปอร์มาร์เก็ต หยิบมาอ่านฉลากดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่ามันมีน้ำนมโคน้อยลง กลายเป็นส่วนผสมของน้ำตาล และอะไรอื่นๆ ที่ไม่ยอมระบุ ผมคาดว่าคงเป็นแป้งที่ทำให้เนื้อโยเกิร์ตดูเหนียวๆ ข้นๆ แบบนี้จึงไม่น่าแปลกใจหรอก ว่าทำไมเด็กไทยสมัยนี้ถึงได้อ้วนกันเหลือเกิน ในเมื่ออาหารต่างๆ ในท้องตลาด ได้ลดส่วนผสมหลักๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงลงไป แล้วไปใส่น้ำตาลและสารเคมีปรุงแต่งกลิ่นรสเข้าไปแทนที่ ให้มันดูเต็มกล่อง

ประเด็นคือ คุณคิดว่าน้ำนมอีก 50% ที่เหลือ ที่ผู้ผลิตไม่ยอมใส่เข้าไปในกล่องนมเปรี้ยวของพวกเรา มันหายไปไหนครับ ส่วนผสมอื่นๆ อีกครึ่งกล่องนั้น มันมีต้นทุนหรือมูลค่าเทียบเท่ากับน้ำนมหรือเปล่าหล่ะ ผมคิดว่ามูลค่าส่วนนี้ มันคงหายไปกับงบประมาณ ในการจัดประกวดดัชช้งดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ลอะไรพวกนี้แหละ ในการทำมาร์เก็ตติ้งให้สินค้าสมัยนี้ เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่ง คุณไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ดีเลิศประเสริฐที่สุดในท้องตลาด คุณไม่จำเป็นต้องผลิตนมเปรี้ยวให้อร่อยที่สุด หรือมีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด แต่นักการตลาดสมัยนี้ เขาเชื่อว่านมเปรี้ยวของเขาจะขายดีที่สุดได้ ด้วยการเอาส่วนผสมน้ำนมออกไปครึ่งกล่อง แล้วใส่น้ำผลไม้ลงไป น้ำตาล และกลิ่นสีสังเคราะห์ เอาต้นทุนส่วนที่ประหยัดได้มานี้ ไปจัดกิจกรรมอีเวนต์ประกวดเด็กหล่อเด็กสวย ปั้นมันให้โด่งดัง แล้วเอามันกลับมาเป็นพรีเซนเตอร์ วนเวียนอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

นักการตลาดรู้ดี ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของนมเปรี้ยวพวกนี้ เวลาเอาหลอดเจาะเข้าไปในกล่องแล้วดูดกินน้ำนมครึ่งนึงน้ำตาลครึ่งนึง พวกเขาไม่ได้คิดว่ากำลังบริโภคนมเปรี้ยว แต่กำลังบริโภคภาพลักษณ์ของดัชชี่บอยดัชชี่เกิร์ล บริโภคความฝันว่าสักวันฉันจะขาวและผอมได้แบบนั้น และบริโภคความเป็น celebrity ของดาราที่พวกเขาชื่นชอบ โดยไม่เคยสนใจดูฉลากข้างกล่องนม ว่าในนั้นมีส่วนผสมอะไรอยู่บ้าง หรือว่าบางคนอาจจะเคยอ่านดู แต่คงคิดว่านมเปรี้ยวพร้อมดื่มบรรจุกล่องๆ มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งผมจะบอกให้ว่าไม่เลยครับ นมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ดี ไม่ควรเป็นแบบนี้ มันเคยมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมมากถึง 90% เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน และรสชาติของมันก็ไม่ได้หวานเจี๊ยบ กลิ่นฉุนน้ำผลไม้ปลอมๆ แบบในทุกวันนี้ มันเป็นรสชาติของน้ำนมเปรี้ยวที่คุณภาพสูงกว่าทุกวันนี้เยอะ

เพราะรูปแบบมาร์เก็ตติ้งสินค้าชนิดนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในรอบประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา พวกนักการตลาดเริ่มลดส่วนผสมของน้ำนมลงไปเรื่อยๆ โดยมีบางยี่ห้อแปะฉลากว่าเป็นสูตร Light หรือสูตร Slim คือลดปริมาณไขมันนม เพื่อให้เหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้ช่วยลดความอ้วนหรอกครับ เพราะมันมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ผมจำได้ว่าเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เคยมีนมเปรี้ยวยี่ห้อ ดาน่อน ไม่รู้ว่าคุณเคยกินหรือเปล่า มันเป็นของบริษัทโอสถสภา ผมเคยซื้อกินประจำ เพราะเมื่ออ่านฉลากแล้ว มันมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมสูงถึง 95% แต่จำได้ว่ามันวางขายอยู่ได้ไม่นาน จนปัจจุบันก็หาซื้อไม่ได้แล้ว ไม่แน่ใจว่ามันเจ๊งไปหรือยัง อาจจะเพราะทนรับต้นทุนน้ำนมสูงถึง 95% สู้กับคู่แข่งรายอื่นไม่ได้ บนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตในทุกวันนี้ จึงมีที่ว่างเหลือให้กับนมเปรี้ยว 50% เท่านั้น ส่วนผสมนมเปรี้ยวอีก 50% ที่หายไป ก็ไปปรากฏอยู่ในหน้าจอทีวีแทน

...

นม

...

ในขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม กำลังประสบปัญหาเรื่องราคาน้ำนมดิบและโควต้ารับซื้อของโรงงาน ทำให้ต้องนำน้ำนมสดจำนวนมหาศาลมาเททิ้งบนถนนเพื่อประท้วง


เด็กนักเรียนในชนบท กลับได้รับนมด้อยคุณภาพบรรจุถุงพาสเจอไรซ์ ขายส่งให้ในโครงการนมโรงเรียนของรัฐบาล


ร้านกาแฟสดแถวออฟฟิศของผม ขายกาแฟเย็นแก้วละ 30 บาท ใส่แต่นมข้นหวานและนมข้นจืด


สรุปว่าบ้านนี้เมืองนี้ ผลิตภัณฑ์นมที่ทำจากนมสดแท้ๆ จากเต้ามันหายไปไหนหมด??


FTA ทำให้นมผงจากจีนและจากแหล่งผลิตนอกประเทศมีราคาถูกลง และไหลเข้าสู่ประเทศไทยมาก จนถึงระดับที่ไม่มีบริษัทขายผลิตภัณฑ์นมเจ้าไหน อยากรับซื้อน้ำนมสดจากเกษตรกรไทยแล้ว พวกเขาซื้อนมผงถูกๆ จากต่างประเทศ มาละลายน้ำให้เรากินกันทุกวันๆ

...

Monday, February 16, 2009

แช่ป้ายทั้งวัน

...

1. เวลา 9.30 น. ป้ายรถเมล์ที่หน้าปากซอยพิบูลสงคราม 22

2. เวลา 20.30 น. ป้ายรถเมล์ที่หน้าปากซอยพิบูลสงคราม 22 เช่นเคย

สรุปว่าตลอดทั้งวัน ที่ป้ายนี้มีรถแท็กซี่มาจอดแช่ป้าย จากในภาพนี้จะเห็นรถเข็นขายโรตีเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึง รถเมล์อย่างได้หวังเข้าป้ายเลยตลอดทั้งวัน

...

Sunday, February 15, 2009

แช่ป้ายรายวัน

...

1. ป้ายรถเมล์หน้าคาร์ฟูร์รัตนาธิเบศน์

2. ป้ายรถเมล์หน้าบิ๊กซีติวานนท์

3. ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัลรัตนาธิเบศน์

สรุปว่าทุกป้ายรถเมล์ ที่อยู่หน้าโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ มีรถแท็กซี่จอดแช่ป้ายกีดขวางทำให้รถเมล์เข้าจอดป้ายไม่ได้ ผู้โดยสารต้องเดินลงมาบนถนนเพื่อขึ้นรถเมล์ในเลนที่ 2 หรือ 3 และทำให้รถติดตลอดเวลา

...

Saturday, February 14, 2009

แช่ป้ายอีกแล้ว

...

1. หน้าปากซอยอารีย์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า เวลาประมาณห้าโมงเย็น รถตู้โดยสารสาธารณะจอดเรียงกันยาวเป็นตับ 4-5 คันรวด ถนนตรงนี้เหมือนเป็นคิวรถตู้ไปแล้ว

2. หน้าบิ๊กซีวงศ์สว่าง เวลาประมาณสองทุ่ม ทั้งรถสามล้อเครื่อง ทั้งรถแท็กซี่ จอดแช่กันสบายกันอารมณ์ ทั้งที่ตรงนี้เป็นช่วงถนนแคบเหลือ 2 เลน เพราะติดเสาตอม่อสะพานข้ามแยกพอดี ศูนย์การค้าใหญ่โตร่ำรวย ปล่อยให้คนเดินเท้าและผู้โดยสารรถเมล์ ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกคืนๆ

...

Friday, February 13, 2009

ผลรวมของความสิ้นหวัง

(ภาพจากเว็บผู้จัดการออนไลน์)

...

เด็กช่างกลพวกนี้ ถ้าเขารู้แน่ว่าในอนาคตอีก 5 ปี เขาจะมีหน้าที่การงานมั่นคง เงินเดือนดี มีบ้านน่าอยู่ มีเมียสวย และมีลูกน่ารัก

รับรองว่าพวกเขาจะกลับเข้าห้องเรียน นั่งพับเพียบจดเลกเชอร์ เลิกเรียนก็รีบกลับบ้านทันที ตื่นเช้ามาก็นั่งทบทวนตำรากับเพื่อน

เหตุที่พวกเขาออกมาตีกัน มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและทำร้ายคนอื่น ก็เพื่อแสดงออกว่าพวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือจากสังคม

เปรียบเหมือนคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่แล้วจริงๆ ไม่ได้อยากตาย แต่พวกเขากำลังขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวต่างหาก

เด็กช่างกลพวกนี้ก็มีธรรมชาติไม่ต่างจากเด็กจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์หรอก เขากลัวตาย และไม่อยากออกมาตีกันให้เจ็บตัว

แต่การนำเด็กวัยรุ่นชายที่มองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลย จำนวนมากๆ มาอยู่รวมกัน แล้วแบ่งเป็นสถาบันแบบนี้

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผลรวมของความสิ้นหวัง แปรสภาพกลายเป็นพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและทำร้ายผู้อื่น

จิตวิทยาง่ายๆ แต่ทำไมคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในบ้านนี้เมืองนี้ไม่รู้กันเลย

...

Wednesday, February 11, 2009

คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?

...

บทความเก่าๆ เขียนไว้เมื่อวันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว

นำมาโพสต์ใหม่เพื่อแสดงความไว้อาลัยกับประเทศชาติ จากเหตุการณ์ช่างกลตีกันหน้ามาบุญครองเมื่อวานนี้

...

ในค่ำคืนของวันวาเลนไทน์ ผมกำลังขับรถกลับบ้าน และก็เปิดวิทยุในรถฟังไปเพลินๆ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน กับการตระเวนไปติดต่องานหลายแห่ง พอถึงช่วงต้นชั่วโมง รายการวิทยุก็ตัดเข้าสู่รายงานข่าว ข่าวในวิทยุบอกว่า คืนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะประกาศเคอร์ฟิวส์ ห้ามวัยรุ่นออกมาจับกลุ่มมั่วสุมนอกบ้านเกินเวลาสี่ทุ่ม โดยจะเข้มงวดออกตรวจตราตามสถานบริการต่างๆ และตั้งจุดตรวจบนท้องถนน

ผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้มา 30 กว่าปี และก็เริ่มรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในวันเทศกาลรื่นเริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวาเลนไทน์ สงกรานต์ วันแรงงาน ลอยกระทง วันปีใหม่ และวันหยุดยาวทั้งหลาย กำลังจะกลายเป็นวันเทศกาลอันธพาลแห่งชาติไปเสียแล้ว

ระหว่างทางที่ขับรถมา เมื่อออกจากเขตเมืองที่พลุกพล่าน และเริ่มเข้าสู่เขตชานเมือง ก็เริ่มสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นประเภทหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีคำศัพท์เรียกเฉพาะแล้วว่า "เด็กแวนซ์" ขี่มอเตอร์ไซค์รวมกันเป็นกลุ่มๆ กระจายตามจุดต่างๆ และเหมือนกับพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่ไหนสักแห่ง ถ้าจะให้เดา ก็เดาว่าคงเป็นแถวๆ ถนนตัดใหม่เส้นนครอินทร์และสะพานพระรามห้า เมื่อดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ก็ถึงเวลาสี่ทุ่มพอดี ประกาศเคอร์ฟิวส์ในคืนนี้คงจะไม่ได้ผล

รถของผมมาจอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกวงศ์สว่าง รายการวิทยุกลับเข้าสู่ช่วงรายการเพลงอีกครั้ง รถมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหญ่แล่นฉวัดเฉวียนแทรกผ่านด้านข้างรถไป เพื่อไปจอดจ่อไว้ตรงไฟแดง ผมเร่งวอลุ่มเสียงเพลงจากวิทยุ และแหงนมองตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่กำลังนับเวลาถอยหลัง และภาวนาให้มันไปถึงเลขศูนย์เสียที

อึดใจถัดมาก็ได้ยินเสียงดังโครมมาจากทางด้านหลัง เมื่อมองกระจกหลัง เห็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ถัดไปเพียงคันเดียว ถูกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งชนเข้าเต็มๆ

พวกเด็กแวนซ์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจ่ออยู่ตรงไฟแดง หันกลับมามอง แล้วพากันขี่รถย้อนศรกลับมา คงจะเพื่อมาช่วยเพื่อนของพวกมัน

ไฟเขียวพอดี ผมรีบขับรถออกจากจุดเกิดเหตุ เมื่อเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้ง ก็เห็นเจ้าของรถเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เปิดประตูรถลงมาดูสภาพรถของตัวเอง โดยมีมอเตอร์ไซค์และเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ยืนล้อมกรอบเขาอยู่

เมื่อก่อน ผมเคยคิดว่าตนเองและผู้คนที่ร่วมอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ มีอาการที่เรียกว่า Mean World Syndrome คือเราคิดกันไปเอง ว่าสังคมรอบตัวนั้นเลวร้ายและเต็มไปด้วยอันตราย พวกนักวิชาการด้านสื่อมวลชนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ว่าเป็นเพราะข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์รุนแรงและอาชญากรรม จนทำให้ผู้ติดตามข่าวสม่ำเสมอ รู้สึกหวาดกลัว ระแวง และวิตกกังวลมากเกินกว่าความเป็นจริง

แต่เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ! ผมว่าพวกเราไม่ได้คิดกันไปเองหรอก World มัน Mean จริงๆ และมันกำลังจะ Mean ลงไปอีกเรื่อยๆ เสียด้วย เหตุการณ์ความซวยของชายหนุ่มที่สี่แยกวงศ์สว่างเมื่อสักครู่ ยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่อมั่น และมันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ความซวยที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อ 3 ปีก่อน

บ้านของผมเป็นทาวน์เฮ้าส์หลังแรกของหมู่บ้าน ตั้งอยู่ติดถนนซอย ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ผมอาศัยอยู่บ้านนี้มาเกือบ 20 ปี และมีพวกคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างมาขอตั้งวินตั้งแต่สมัยนั้น พ่อของผมใจดีและอนุญาตให้ไป เพราะมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนทำมาหากิน น่าสงสาร ต้องให้โอกาสเขา

เมื่อเวลาผ่านไป สภาพของวินแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปในทางแย่ลงเรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมของคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เมื่อมารวมตัวอยู่ด้วยกันเยอะๆ และเป็นประจำ ก็จะทวีความหยาบช้าขึ้นเรื่อยๆ โดยยึดเอาพื้นที่หน้าบ้านผม ตั้งวงกินเหล้า สูบบุหรี่ ร้องเพลง ตะโกนเอะอะโวยวาย ชนิดที่ว่า พอมีผู้โดยสารมา ก็วางแก้วเหล้าแล้วไปขี่รถส่งเขา ก่อนจะกลับมานั่งกินเหล้ากันต่อ ไม่เคยมีตำรวจหน้าไหนมาตรวจตราดูแล

วันคราวซวยของผม เป็นวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ พวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างยึดหน้าบ้านผมนั่งกินเหล้าฉลองกันแบบข้ามคืนตามปกติ ผมชะโงกออกมาทางหน้าต่างบ้าน เห็นพวกมันคนหนึ่งกำลังยืนปัสสาวะรดกำแพงบ้านอยู่ ความอดทนก็ถึงจุดสิ้นสุด

"ไอ้เ - ี้ย! มึงจะมาเยี่ยวข้างบ้านกูทำไม?" ผมตะโกนด่ามัน มันหันมามอง หัวเราะ แล้วก็เยี่ยว เอ๊ย! แล้วก็ปัสสาวะต่อไป

ผมคว้ากุญแจบ้าน เปิดประตูเดินออกไปไล่มัน (นับเป็นการกระทำที่โง่มาก แต่ตอนนั้นไม่ทันคิดจริงๆ)

คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนอื่นๆ อีก 4-5 คน ที่กำลังนั่งล้อมวงเหล้ากันอยู่ พร้อมกันลุกขึ้น แล้วเดินกรูเข้ามาล้อมกรอบกู เอ๊ย! ล้อมกรอบผมในทันที ตอนนี้หมดโอกาสที่จะวิ่งหนีกลับเข้าบ้านแล้ว

"มึงเป็นเ - ี้ยอะไร! มึงมีปัญหาอะไรกับพวกกู!?" หนึ่งในนั้นกล่าว

"มึงเป็นใครวะ!? มึงเก่งนักหรือ ไอ้ - ัด!" อีกหนึ่งในนั้นกล่าว

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" อีกหนึ่งในนั้นกล่าวประโยคนี้ขึ้นมา ผมได้ยินประโยคนี้ชัดเจนที่สุด และจำประโยคนี้ได้อย่างแม่นยำที่สุด เพราะหลังจากสิ้นประโยคนี้เพียงเสี้ยววินาที ก็มีหมัดและเท้าระดมเข้ามาที่ใบหน้าและลำตัว

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" ผมคิดว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่ฉลาดที่สุด รวบรัด ได้ใจความ มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ เปรียบได้กับเป็น Memorable Quote จากปากของปราชญ์แห่งยุคสมัย มันสามารถชี้ให้เราเห็นถึงปัญหาสังคมทุกวันนี้ได้อย่างแจ่มชัด ที่เป็นสาเหตุทำให้ World นี้ Mean ลงไปเรื่อยๆ

พวกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าบ้านของผม วันๆ ตื่นเช้ามาตั้งวินกันตั้งแต่หกโมงเช้า ทำงานขี่รถรับส่งผู้โดยสาร ให้ได้ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน ไปหาสิ่งที่ดีงามใส่ชีวิต ในขณะที่คนอื่นๆ มีหน้าที่การงาน มีโอกาส มีอนาคต มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเขาไม่ได้ไปไหนเลย พอถึงช่วงเช้าสายที่ไม่มีผู้โดยสารแล้ว พวกเขาก็ไปซื้อเบียร์ราคาถูกๆ 4 ขวด 100 มานั่งตั้งวงกินกันไปเรื่อยๆ พอตกเย็นเริ่มมีผู้โดยสารเยอะ ก็ไปทำงานขี่รถกันต่อ จนกระทั่งตกค่ำ ก็กลับมาตั้งวงกันใหม่ พอง่วงก็เข้านอน

ตื่นเช้ามาก็เข้าสู่วงจรชีวิตแบบเดิม คือวงจรชีวิตที่ทำให้เขารู้สึกว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว" วงจรนี้ทำให้พวกเขาทวีความโกรธเกรี้ยวต่อสังคมขึ้นเรื่อยๆ จึงพร้อมที่จะมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและผู้อื่นตลอดเวลา ใช้ความรุนแรง เผชิญหน้า และท้าทาย "มึงจะมาแลกกับกูมั้ย?"

พ่อของผมวิ่งเข้ามาช่วย ลากตัวผมออกจากวงล้อมของพวกวินมอเตอร์ไซค์ ยกมือไหว้ปะหลกๆ พูดขอโทษขอโพย ทั้งๆ ที่พ่อคือคนที่อนุญาตให้พวกมันมาใช้ที่ดินหน้าบ้านเรา ตั้งวินทำมาหากินมานานสิบกว่าปี

เหตุการณ์เหมือนจะสงบแล้ว แต่อีกอึดใจต่อมา มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกคน มาจากไหนก็ไม่รู้ วิ่งเข้ามาชกผมจากทางด้านหลัง แล้วพยายามวิ่งหนีไป แต่ผมคว้าคอเสื้อของมันไว้ทัน จึงมีเหตุการณ์ตะลุมบอนกันสองคน ต่อไปอีกพักใหญ่ตำรวจจึงค่อยมาถึง แล้วใส่กุญแจมือผม กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนสุดท้ายที่วิ่งมาลงมือ ส่วนคนอื่นๆ พอเห็นตำรวจมา ก็วิ่งหนีกันไปหมด

พอมาถึงโรงพัก ตำรวจบอกว่านี่เป็นคดีทะเลาะวิวาท จึงลงบันทึกประจำวัน และปรับผมกับคู่กรณีที่จับมาได้เพียงคนเดียว คนละ 100 บาท ผมเถียงไปว่านี่ไม่ใช่คดีทะเลาะวิวาท แต่เป็นคดีทำร้ายร่างกาย ตำรวจทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่อยากทำคดีนี้ต่อ อยากให้เลิกแล้วกันไป

พ่อของผมเห็นด้วยกับตำรวจ ว่าให้เลิกแล้วต่อกันไปดีกว่า เพราะเราอยู่ในที่แจ้ง ส่วนคนพวกนี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถ้าวันนี้เราไปจับมันเข้าคุกหรือดำเนินคดีอะไรยืดยาว วันหลัง มันหรือเพื่อนของมันอาจจะมาลอบทำร้ายเราได้ โดยที่ตำรวจไม่มีทางช่วยเราได้

วันรุ่งขึ้น วินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านของผม ย้ายไปตั้งหน้าบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่อยู่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม ห่างออกไปประมาณ 15 เมตร

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" จริงอย่างที่เขาพูดจริงๆ คนพวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสีย เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็แค่ย้ายไปปักหลักที่อื่น แล้วชีวิตก็เข้าสู่วงจรเดิม ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

พวกเด็กแวนซ์ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะยังเด็ก ยังมีโอกาสได้เข้าโรงเรียน ยังมีโอกาสได้เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ เป็นอะไรได้มากมายในอนาคต แต่ถ้าในความคิดของพวกเขาตีบตัน มองไม่เห็นว่าตนเองมีอนาคตข้างหน้ารออยู่ เขาก็จะคิดว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" ได้เหมือนกัน แล้วก็ออกมาขี่มอเตอร์ไซค์กวนเมือง จนกลายเป็นปัญหาสังคมอย่างในทุกวันนี้

ในกระจกหลัง ภาพเหตุการณ์ตรงสี่แยกวงศ์สว่างค่อยๆ ห่างออกไป เล็กลงๆ ทุกที ผมมองไม่เห็นภาพชายหนุ่มเจ้าของรถดวงซวยคนนั้นแล้ว เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของพวกเด็กแวนซ์จำนวนมาก และเห็นรถมอเตอร์ไซค์อีกหลายสิบคันจอดทิ้งอยู่เต็มกลางถนน โดยยังไม่เห็นว่ามีตำรวจเข้ามาเคลียร์เหตุการณ์เลย

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร? จากประสบการณ์ของผม ผมว่าเราควรอยู่แต่ในรถ กดปุ่มล็อคประตูทุกบาน ยกมือไหว้พวกมันงามๆ บอกว่าเราไม่เอาเรื่อง พอพวกมันไปกันหมดแล้ว ก็ค่อยโทรศัพท์เรียกบริษัทประกัน

สภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบทุกวันนี้ จู่ๆ ความซวยก็อาจจะมาเยือนใครก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา นั่งรถเมล์อยู่ดีๆ ก็อาจจะโดนลูกหลงจากปืนปากกา หรือไปเที่ยวผับหรูๆ แล้วไปเดินสะดุดตีนลูกนักการเมืองเข้า ก็อาจจะโดนปืนยิงจ่อหัวตายฟรีๆ ได้

ส่วนตัวผมนั้นนับว่าคืนนี้โชคยังดี รถที่ถูกชนคือรถที่จอดอยู่หลังผมถัดไปเพียงแค่คันเดียว ถือว่ารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด

ถ้าคืนนี้ไม่ใช่เป็นรถของคุณที่โดน ก็คงเป็นรถผมเองที่โดน ... เสียใจกับคุณด้วยจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณอย่างไรเหมือนกัน คืนนี้ผมอยากรีบกลับบ้าน เพราะทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยจริงๆ และพรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก

ส่วนรถยนต์คันอื่นๆ ที่จอดติดไฟแดงอยู่ในเหตุการณ์ ค่อยๆ ขับเบี่ยงซ้ายขวาหนีออกมาจากจุดนั้น ทุกคนก็คงคิดเหมือนกับผมนั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักแบบนี้ ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องมีราวหรอก ทุกคนก็คงอยากจะรีบกลับบ้าน ไปหาคนที่ตนรักทั้งนั้น

อีกแป๊บเดียว ก็ขับรถกลับมาถึงบ้านแล้ว เอ๊ะ! ได้บอกคุณไปหรือยัง? ว่าตอนนี้ผมย้ายบ้านแล้วนะ บ้านเก่าที่เคยมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าบ้านนั่นก็ปิดไว้ รอวันขาย

บ้านใหม่ของผมอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ย่านชานเมือง ปากทางเข้าหมู่บ้านมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีคานเหล็กกั้น และมียามนั่งเฝ้าอยู่ประจำ เมื่อขับเข้ามาถึงบริเวณอาณาเขตหมู่บ้าน ที่ถูกจัดแบ่งไว้เป็นโซนๆ แต่ละโซนก็มีป้อมยามตั้งอยู่อีกชั้นหนึ่ง

ราวกับเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในครอบแก้ว ส่วนโลกภายนอกครอบแก้วของเรานั้น ใกล้จะเป็นกลียุคเข้าไปทุกที

หนทางเอาชีวิตรอดในยุคนี้สมัยนี้ ก็คือการหลีกหนีจากปัญหาทั้งปวง อย่าไปรู้ อย่าไปเห็น และพยายามปกป้องตัวเองไว้ ปิดกระจก เปิดแอร์ แล้วเปิดวิทยุเสียงดังๆ ขับหนีออกมาโดยเร็ว แล้วก็รีบกลับเข้าบ้านที่มีสภาพแวดล้อมดีๆ มีรั้วรอบขอบชิด

ใครที่พอมีโอกาส ก็รีบๆ ตักตวง แก่งแย่ง กอบโกยเข้าสู่ตัวเอง ถีบตัวเองให้ขึ้นไปยังจุดที่สูงขึ้น ครอบแก้วของตัวเองก็จะได้แน่นหนา ปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนโลกภายนอกจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่รู้ด้วยแล้ว ช่างมัน ช่วยไม่ได้จริงๆ

ในเมื่อสังคมบีบคั้นให้คนบางกลุ่มรู้สึกว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" และในขณะเดียวกัน กฎหมายและผู้รักษากฎหมาย ยังไม่สามารถเข้ามาปกป้องคนกลุ่มที่คิดว่า "กูมีอะไรต้องไปทำอีกตั้งเยอะแยะ มีคนที่กูรัก และคนที่รักกู อีกทั้งกูก็ไม่ได้อยากจะไปแลกอะไรกับใครเลย"


***


หมายเหตุ

- อ่านรายละเอียด Mean World Syndrome ได้จากบทความสั้นนี้ http://www.context.org/ICLIB/IC38/Gerbner.htm


Monday, February 09, 2009

นักมวยหญิงอาชีพที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย

...

"การวัดระดับคุณธรรมของสังคม วัดได้จากสิ่งที่สังคมนั้นกระทำกับเด็ก" ดีทริช บอนฮอฟเฟอร์

"The test of the morality of a society is what it does for its children." Dietrich Bonhoeffer

Dietrich Bonhoeffer (February 4, 1906 – April 9, 1945) was a German Lutheran pastor, theologian, participant in the German Resistance movement against Nazism, and a founding member of the Confessing Church. He was involved in plots planned by members of the Abwehr (the German Military Intelligence Office) to assassinate Adolf Hitler. Bonhoeffer was arrested in March 1943, imprisoned, and eventually executed by hanging shortly before the war's end.

ดูรายการวีไอพีคืนนี้แล้วจะอ้วก มันเอาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กับพ่อมาออกรายการ เด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบถูกจับมาฝึกมวยไทย แล้วให้ชกกันเอาเป็นเอาตายบนเวทีเหมือนมวยผู้ใหญ่ธรรมดา รอบๆ เวทีมีผู้ใหญ่เป็นร้อยๆ กำลังโห่ร้องเหมือนเชียร์ไก่ชน

...

Tuesday, February 03, 2009

กระเป๋าใหม่


...


วันศุกร์สิ้นเดือนที่ผ่านมา ไปถ่ายงานที่พาราก้อนตอนเย็นๆ มีคุณน้องที่เป็นสไตลิสต์ไปด้วยคนนึง พอถ่ายงานกันเสร็จ ก็เลยเดินช้อปปิ้งต่อ คุณน้องสไตลิสต์ก็เลยบอกว่า คุณพี่นี่เสื้อผ้าก็ผ่านหมดแล้วนะ เหลือแต่กระเป๋านี่แหละ ไม่ผ่านอย่างแรง ใบนี้มันดูเหมือนเป็นนักศึกษากะโหลกกะลา ซื้อกระเป๋าใบใหม่เหอะ ว่าแล้วก็พากันไปที่ร้าน Zara

1. เปรียบเทียบกระเป๋าเก่ากับใบใหม่ สะพายออกมาแล้วจะเป็นประมาณนี้

2. กระเป๋าใบเก่าขนาดเล็กนิดเดียว ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายกับเป็นกระเป๋ากล้องคอมแพคต์ ยี่ห้อ Monster ซื้อมาได้ 2-3 ปีแล้ว ซื้อที่พาราก้อนเหมือนกันนี่แหละ แต่ตรงแผนกเครื่องเขียน ราคาน่าจะประมาณสามร้อยกว่าบาท ที่ซื้อเพราะมันขนาดเล็กมาก เวลาสะพายไปสถานีรถไฟฟ้า หรือเข้าตามศูนย์การค้าต่างๆ จะได้ไม่ต้องโดนเปิดกระเป๋าตรวจ

3. แหวกให้ดูรายละเอียดภายใน มันเป็นกระเป๋าเล็กพริกขี้หนูนะ มีช่องเยอะมาก ใส่สมุดโน้ตเล็กๆ ปากกา ทัมบ์ไดร์ฟ เอ็มพีสาม หูฟัง นามบัตร สมุดบัญชีธนาคาร และยังเหลือที่ไว้ใส่กล้องดิจิตอลคอมแพคต์ Panasonic LX1 ได้แบบพอดีๆ แยกกันเป็นสัดเป็นส่วน ผ้าใบหนาปึ๊ก กันน้ำและกันกระแทกได้พอสมควร

4. กระเป๋าใบใหม่ Zara เนื้อผ้าเป็นมันเงา อ่อนยวบยาบ ลองสะพายดูแล้วก็ถามคุณน้องสไตลิสต์ ว่าทำไมมันย่อบแย่บแบบนี้ล่ะคุณน้อง? คุณน้องก็บอกว่า เด๋วนี้เขาสะพายกระเป๋าทรงนี้แหละคุณพี่ ย่อบแย่บๆ มันทำให้ดูลำลองดี ผมก็ถามไปอีกว่า สะพายแล้วมันเหมือนพวกคนขายหวยตอนสิ้นเดือนหรือเปล่า? คุณน้องมันก็ตอบว่าไม่เลย สะพายแล้วเหมือนพวกนายแบบญี่ปุ่นนะคุณพี่

5. นี่เปิดให้ดูรายละเอียดภายใน มีช่องเล็กๆ ข้างหน้า 2 ช่อง ช่องใส่ของใหญ่สุดไม่มีซิปปิดนะ ที่เห็นซิปนั่นเป็นซิปของช่องเล็กๆ แบนๆ ข้างหลัง กระเป๋าแบบนี้ถ้าใส่อะไรเข้าไปแล้ว มันจะปนกันอยู่ข้างในหมดเลย จะหาอะไรทีก็ต้องเทกระเป๋าออกมา เฮ้อ! เอาวะ สะพายแล้วเหมือนนายแบบญี่ปุ่น เออๆ โอเค ในที่สุดก็ควักกระเป๋าซื้อมา

6. นี่พลิกให้ดูเนื้อผ้าข้างใน ตัดเย็บประณีตดี เนื้อผ้าก็นุ่มมือ แต่ไม่รู้ว่ามันจะทนหรือเปล่า ลองทายกันดูไหม ว่าราคากระเป๋าใหม่ใบนี้เท่าไร ?

...