Thursday, August 30, 2007

คนขายตั๊กแตน

...







ฮาดีครับข่าวนี้ เหมือนกับกรณีเรื่อง สมพงษ์ เลือดทหาร เมื่อหลายปีก่อนเลย คนลวงโลกที่ถูกสื่อมวลชนทำให้กลายเป็นฮีโร่ เหมือนในหนังเรื่อง Accidental Hero เป๊ะๆ อ่านรายละเอียดข่าวนี้ได้จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=138227&NewsType=1&Template=1

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=138346&NewsType=1&Template=1


หมายเหตุ
ภาพถ่ายก็อปปี้มาจากเว็บไซต์ http://picpost.mthai.com/view_picpost.php?cate_id=37&post_id=340929 แล้วนำมาตกแต่งใส่บทพูดเข้าไปเอง


...

Wednesday, August 29, 2007

24

...

เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ผมไปสัมภาษณ์ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องธรรมะกับการทำงาน เขาเคยทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทแห่งหนึ่ง และมีความเครียดสะสมจนกระทั่งถึงจุดที่ทนไม่ไหว แล้วเขาก็เริ่มต้นหันมาศึกษาธรรมะของศาสนาพุทธ แล้วทำให้ความเครียดลดลง และจิตใจสบายขึ้น มีคำพูดของเขาช่วงหนึ่งสะดุดใจผมมาก ผมถามเขาไปว่า "ทำไมงานถึงทำให้คุณเครียดมากขนาดนี้ ผมเองทำงานก็เครียด แต่ไม่เห็นเครียดเหมือนคุณ" (แกล้งถามแบบซื่อๆ น่ะครับ เพราะมันแหงอยู่แล้ว ผมได้เงินเดือนกระจ้อยร้อย ปริมาณงานและความรับผิดชอบก็น้อยนิด ส่วนเขาเป็นผู้บริหารระดับสูง เงินเดือนเพียบ มีความรับผิดชอบเยอะกว่า เขาจึงต้องเครียดมากกว่า) แล้วเขาก็ตอบมาได้น่าสนใจมาก

"สมัยก่อนเรามองการทำงานเป็นชั่วโมงการทำงาน และเราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ไม่ใช่นะ เราแบ่งซอยชั่วโมงลงไป เป็นนาที เป็นวินาที เป็นเสี้ยววินาที งานนี้ต้องรีบทำให้เสร็จในอีกไม่กี่นาที เพราะเดี๋ยวจะมีงานใหม่เข้ามา เทคโนโลยีใหม่และระบบการทำงานแบบใหม่ นั่นหมายถึงสังคมคาดหวังให้เราทำงานเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเราไม่มีจุดเวลาที่จะว่างเลย คนปัจจุบันถูกกดดันแบบต่อเนื่องและสม่ำเสมอทุกวินาที ทุกวินาทีของเราถูกครอบคลุมด้วยเนื้องาน ด้วยภาระ ด้วยพันธะสารพัดอย่าง โลกยุคข้อมูลข่าวสาร คนอื่นๆ รู้ข่าวนี้กันหมดแล้ว คุณรู้หรือยัง มีข่าวใหม่ๆ เข้ามาตลอดทุกเสี้ยววินาที แล้วข่าวสมัยนี้ไม่ใช่แค่ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วเกิดอะไรขึ้น เพื่อนมาถาม อ้าว ไม่รู้เหรอ ตกข่าวเหรอ ไม่ได้อ่านในเน็ตเหรอ"

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงทีวีซีรีย์สของฝรั่ง เรื่อง 24 คือช่วงนี้วันๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย นอกจากนอนดูดีวีดีหนังซีรีย์สฝรั่งหลายเรื่อง ที่สั่งซื้อมาราคาถูกๆ จากในอินเตอร์เน็ต ซีรีย์สเรื่อง 24 นี่ได้รับความอนุเคราะห์มาจากน้องอ้วนกับน้องพ่ง ที่อุตส่าห์ขนมาให้ยืมดูเป็นตั้งๆ มันเป็นเรื่องแนวแอคชั่นระทึกขวัญ ที่ตัวพระเอกเป็นสายลับชื่อ แจ๊ค บาวเออร์ ต้องไปเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ และต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสารพัดที่ประดังประเดเข้ามา จุดเด่นของซีรีย์สเรื่องนี้ ที่ทำให้มันโดดเด่นและแตกต่างไปจากทีวีซีรีย์สเรื่องอื่นๆ คือการที่ผู้เขียนบทและผู้กำกับแสดงความเทพ ด้วยการดำเนินเรื่องแบบ Real Time ให้เวลาตามท้องเรื่อง ตรงเป๊ะกับเวลาที่หนังฉาย แบบวินาทีต่อวินาที คือแต่ละเอพิโสดหรือแต่ละตอนที่ฉายทางทีวี มีความยาว 1 ชั่วโมงรวมโฆษณา เนื้อเรื่องตามท้องเรื่องก็ดำเนินไป 1 ชั่วโมงด้วยเหมือนกัน และที่เขาตั้งชื่อว่า 24 นั่นหมายถึงเวลา 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า ในแต่ซีซั่นจะมีทั้งหมด 24 เอพิโสด ก็เท่ากับว่าเนื้อเรื่องที่เราจะได้ดูตลอดทั้งซีซั่น ดำเนินไปในเวลา 24 ชั่วโมงหรือ 1 วันนั่นเอง

ตอนเริ่มแต่ละเอพิโสดจะมีภาพไตเติ้ลเป็นรูปตัวเลข 24 เหมือนกับบนหน้าปัดนาฬิกาปลุกแบบดิจิตอล ที่ต้องเสียบปลั๊กไฟน่ะครับ ตัวเลข 24 จะกระพริบๆ แล้วสว่างวาบขึ้นเหมือนไฟฟ้าลัดวงจรจนมันร้อนจัดแล้วตัดไป หลังจากภาพไตเติ้ล เราจะเห็นเนื้อเรื่องดำเนินไปแบบวินาทีต่อวินาที วิธีที่เขาทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตามมากขึ้น คือการกระจายพล็อตเรื่องในแต่ละวินาทีนั้น ออกไปยังหลายๆ เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดกับตัวละครหลายๆ ตัว เช่นนอกจากตัวพระเอกที่กำลังตกในสถานการณ์คับขันแล้ว แล้วภาพก็ตัดไปในอีกฟากหนึ่งของเมือง ลูกสาวพระเอกก็กำลังถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แล้วภาพก็ตัดไปในอีกรัฐหนึ่ง ประธานาธิบดีกำลังติดต่อเจรจากับผู้ก่อการร้าย แล้วภาพก็ตัดไปในห้องข้างๆ ประธานาธิบดี ลูกน้องเขากำลังวางแผนหักหลังอยู่ ดังนั้น ในแต่ละวินาทีที่ดำเนินไป จะมีเหตุการณ์สารพัดเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากทุกตัวละคร ทุกฟากของเมือง ทุกรัฐของประเทศ คนดูจึงรู้สึกตื่นเต้นระทึกใจตลอดเวลา พอจะตัดเข้าช่วงโฆษณา เขาจะนำภาพเหตุการณ์ทั้งหมดมาทำเป็นกล่องเล็กๆ เรียงไว้บนหน้าจอเดียวกัน แล้วภาพก็ตัดไปที่ตัวเลขเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอล กำลังเดินหน้าไป พร้อมกับเสียง ตุบๆ ตุบๆ เหมือนกับเสียงหัวใจเต้น ตัวเลขนาฬิกานั้นตรงกับตัวเลขเวลาจริงเป๊ะ

สุนทรียะของป๊อปคัลเจอร์หลายๆ อย่างในปัจจุบัน อยู่ที่การใช้การรับรู้เรื่องเวลา มาบีบรัดและเร่งเร้าให้คนดูรู้สึกตึงเครียดตลอดเวลา เทียบกับหนังหรือรายการทีวีสมัยก่อน คนดูจะไม่รับรู้เรื่องเวลามากนัก เมื่อเรานั่งดูหนังอยู่ในโรง ก็ปล่อยหัวสมองให้จดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่อง ที่ตัวเอกจะนำพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ที่จะเกิดสถานการณ์ต่างๆ เช่นหนังแนวโร้ดมูฟวี่ ก็นำคนดูไปร่วมนั่งรถที่ขับจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่ง ความสนใจจึงมุ่งไปตรงสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับพัฒนาการของตัวละคร โดยไม่มีเงื่อนไขด้านเวลาเข้ามาบีบ แต่ป๊อปคัลเจอร์ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำให้เรารับรู้แค่สถานที่เปลี่ยน แต่ยังทำให้เรารับรู้ถึงเวลาที่เปลี่ยนแปลงตลอด และมีเวลาที่จำกัดมากด้วย

ผมเชื่อว่าความนิยมในซีรีย์สแนวแอคชั่นระทึกขวัญพวกนี้ กำลังค่อยๆ บ่มเพาะความรู้สึกกังวลเรื่องเวลา ให้กับผู้คนในสังคมร่วมสมัย มากขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของเวลา มากเกินกว่าความเป็นจริง และเรารู้สึกว่าเวลาของเราผ่านไปแบบไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับเวลาในซีรีย์สพวกนี้ ตัวอย่างเช่น เวลา 1 ชั่วโมงในซีรีย์ส 24 นั้นพระเอกของเราช่วยกอบกู้โลกจากสงครามนิวเคลียร์ได้สำเร็จ นอกจากเรื่อง 24 แล้ว ซีรีย์สเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น CSI แค่ภายใน 1 ชั่วโมง พระเอกและทีมงานของเขาใน CSI สามารถไขคดีฆาตกรรมได้ถึง 3 คดีรวด พวกเขามีกันอยู่ 4-5 คน แล้วกันทีมกันทำงาน ทีมละ 1-2 คน แยกย้ายกันไปสืบสวนที่เกิดเหตุ คนดูจะเห็นภาพการทำงานของแต่ละทีมตัดสลับกันไปมา จนกระทั่งถึงตอนจบของแต่ละเอพิโสด คดีทั้งหมดจะถูกคลี่คลายได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่ได้ดำเนินชีวิตและทำงานกันแบบตัวละครในซีรีย์สพวกนี้นะครับ แน่นอนว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่า เรามีเวลาเท่ากันทุกคน ความสำเร็จในชีวิตและการงาน จึงอาจจะขึ้นอยู่กับว่า ใครจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน แต่ใครมันจะอัจฉริยะเก่งกาจได้ขนาดพระเอกในซีรีย์สพวกนี้ล่ะ ที่จะดำเนินชีวิตและทำงานแบบทุกวินาที แถมทำแบบ Multi-tasking ด้วย คือทำหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน และทุกอย่างก็เสร็จได้เรียบร้อยภายในเวลา 1 ชั่วโมง

ผมบังเอิญได้ดูหนังใหม่ล่าสุดของ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง Zodiac มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตามจับฆาตกรต่อเนื่องคนหนึ่ง ซึ่งอ้างอิงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในช่วงทศวรรษที่ 70 ในสหรัฐอเมริกา ตอนแรกที่เปิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดู ผมคาดว่าจะได้ดูหนังระทึกๆ แบบ Seven อย่างที่ผู้กำกับคนนี้เคยทำไว้เมื่อหลายปีก่อน หรืออย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะได้ดูหนังที่สนุกประมาณ CSI ที่ตำรวจชาญฉลาด ทำงานฉับไว ตามจับฆาตกรโรคจิตที่โหดเหี้ยมอันตราย แต่ปรากฏว่าที่คิดไว้นั้นไม่ใช่เลย

--------------- สปอยล์นิดหน่อยครับ จริงๆ ก็อ่านต่อได้ ไม่ทำให้เสียอรรถรสเท่าไร ------------------

ถ้าคุณเคยอ่านเรื่องย่อของหนัง คงพอจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้อ้างอิงจากเรื่องจริง คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวนกันยาวนานแบบข้ามทศวรรษ และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายรายนี้ได้ เหตุฆาตกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นประมาณต้นทศวรรษที่ 70 และดำเนินมาอีกหลายครั้งตลอดทศวรรษที่ 80 จนเรื่องราวเงียบหายไป โดยตำรวจก็จับใครไม่ได้ จนกระทั่งปลายทศวรรษที่ 90 ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ ที่มีหลักฐานน่าเชื่อว่าเป็นคนร้ายตัวจริง แต่หลักฐานนั้นยังไม่พอจะมัดตัวและเอาเขาขึ้นศาลได้ ก็แก่ตายไปแล้ว

ฮาดีครับ ฆาตกรต่อเนื่องในโลกแห่งความเป็นจริง ตำรวจใช้เวลานานถึง 3 ทศวรรษในการตามจับตัว แล้วก็ยังจับไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมว่า เดวิด ฟินเชอร์ จงใจสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อต่อต้านหนังแนวระทึกขวัญที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เขาได้ฉายภาพความเป็นจริงของชีวิตออกมา คือตำรวจแต่ละคน นักข่าว และผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี ก็ทำงานกันไป เรื่อยๆ เฉื่อยๆ สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้กันเลย แถมยังไม่มีเครื่องแฟกซ์ใช้กันด้วยซ้ำ เวลาจะส่งลายนิ้วมือให้ตรวจสอบกันที ต้องส่งทางไปรษณีย์ครับ และแต่ละคนก็ไม่ได้ทำแต่งาน แต่เขามีชีวิตด้านอื่น มีแฟน มีภรรยา เขาก็ดำเนินชีวิตของเขาไป เมื่อเวลาดำเนินไป ตัวละคนบางคนก็ติดเหล้า บางคนก็แต่งงานใหม่ บางคนก็แก่ตาย บางคนเลิกเป็นนักเขียนการ์ตูนแล้วกลายเป็นนักเขียนหนังสือแทน ฯลฯ

มันคือชีวิตน่ะครับ ชีวิตต้องดำเนินไปตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ปุบปับสำเร็จเสร็จเรียบร้อย เหมือนกับที่เราคุ้นเคยจากการดูซีรีย์ส 24 ถ้าเราทำใจยอมรับความจริงของชีวิต และปล่อยให้มันช้าลงมาหน่อย ไม่ใช่เอาแต่วิ่งไล่มตัวเลขดิจิตอลที่กระพริบๆ เพราะไปไฟลัดวงจร เราก็อาจจะมีความสุขกับการมีชีวิตอยู่ และการทำงานประจำวัน มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นี่เป็นธรรมะที่ผมได้จากการดูซีรีย์ส 24 และนำมาเปรียบเทียบกับคำพูดของ ดร.วิทย์

...

Memories of Matsuko

...



ภาพผีเสื้อตัวนี้ถ่ายที่สนามหน้าบ้าน เมื่อ 2-3 วันก่อน ระหว่างที่ผมกำลังนั่งทอดหุ่ยคิดอะไรเพลินๆ เห็นผีเสื้อบินวนเวียนผ่านหน้าไปมาสักพัก แล้วก็มาหยุดเกาะอยู่ที่ใบของต้นอะไรสักอย่าง ผมรู้สึกสะดุดตากับมัน เพราะมันบินแบบกะเผลกๆ ดูผิดปกติ เลยลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ จึงพบว่าปีกมันขาดแหว่งไป มันเกาะอยู่อย่างนั้นนานมาก ผมวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง หยิบกล้องดิจิตอล แล้วรีบวิ่งลงมาดูอีกที มันยังเกาะอยู่ที่เดิม เลยถ่ายภาพมันเก็บเอาไว้ อาจจะเพราะความพิการของมัน ทำให้มันบินไปไหนไม่ไหว

ในป๊อปคัลเจอร์ มักจะมักจะนำผีเสื้อไปเปรียบเทียบถึงการใช้ชีวิตแบบดีงาม แต่อายุสั้นเกินไป เพราะผีเสื้อสวยๆ แบบนี้ จริงๆ แล้วมันมีวงจรชีวิตสั้นมาก พวกมันใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต อยู่ในรูปแบบของตัวหนอน มันจะเกาะใบไม้แล้วกัดกินไปเรื่อยๆ เพื่อสะสมอาหารอยู่หลายวัน ต่อมามันจะสร้างรังดักแด้ขึ้น เพื่อทำการ Morphing หรือเปลี่ยนสภาพตัวเอง จนกระทั่งถึงจุดที่พร้อม กลายเป็นผีเสื้อที่สมบูรณ์ มันจึงฉีกรังดักแด้แล้วบินออกมาสู่โลก ช่วงชีวิตของมันในตอนที่เป็นหนอนและดักแด้นั้นยาวนานกว่าตอนเป็นผีเสื้อ เมื่อกลายเป็นผีเสื้อแล้วมันจะอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน มันออกมาเพียงเพื่อทำหน้าที่ผสมเกสรให้ดอกไม้ แล้วก็รีบจับคู่ผสมพันธุ์ วางไข่เพื่อให้เกิดผีเสื้อรุ่นต่อไป แล้วก็ตาย ช่วงเวลาที่มันเป็นผีเสื้อนั้นจึงเป็นช่วงที่มันสวยงามที่สุด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นที่สุดด้วย ผีเสื้อตัวนี้ปีกขาด ในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดแต่สั้นที่สุด มันกลับพิการ ไม่สมประกอบ ถือเป็นความซวยสุดๆ ที่ต้องเกิดมาในชาตินี้จริงๆ

ผมเห็นผีเสื้อตัวนี้แล้วนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง Memories of Matsuko ไม่รู้คุณเคยดูกันหรือยัง คุณซังไรท์แผ่นหนังเรื่องนี้มาให้ ผมนอนดูจบแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ปกติผมไม่ค่อยต่อมน้ำตาตื้นสักเท่าไร แต่หนังเรื่องนี้มันคลิ๊กพอดีกับความคิดในใจผม กะว่าวันนี้ถ้าไม่มีอะไรทำ จะไปนั่งดูอีกรอบหนึ่ง แล้วเอาไว้จะเขียนถึงมันอย่างละเอียด
ปล. ข้อมูลจากวิกิพีเดียบอกว่า ไม่ใช่ว่าผีเสื้อทุกตัวจะต้องอายุสั้นนะครับ เพราะผีเสื้อบางพันธุ์ที่อยู่ในป่าลึก มีอายุอยู่ได้หลายเดือน จนถึง 1 ปี แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าตัวนี้ ที่ผมเห็นเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมว่าป่านนี้มันคงลงหลุมไปแล้ว

...

Tuesday, August 28, 2007

ออกแบบปกหนังสืออีกแล้ว

...

วันนี้นั่งรื้อเอกสารเก่าๆ ในลังที่ใช้เก็บข้าวของส่วนตัวกลับมาจากออฟฟิศ หลังจากลาออกจากงานมาแล้วเกือบสามเดือน นี่เพิ่งเป็นวันแรกที่เปิดลังนั้นออกมาดู เจอของมีค่าในความทรงจำมากมาย หนึ่งในนั้นคือสมุดบันทึกเล่มเก่า ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อปี 2545 เพื่อเอาไว้จดโน่นนี่เล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่การนัดหมายงาน ลิสต์สิ่งที่ต้องทำประจำวัน เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของแหล่งข่าว ไปจนถึงการจดบันทึกความคิดคร่าวๆ ของบทความที่จะเขียนลงคอลัมน์ คำถามเตรียมสัมภาษณ์ และโครงร่างของสารคดีหลายชิ้น เปิดไปจนหน้าท้ายๆ ซึ่งเป็นการเขียนบันทึกสิ่งต่างๆ ในช่วงปี 2546 ก็เจอเจ้านี่เข้า



มันคือแผนงานการรวบรวมต้นฉบับคอลัมน์ Cyber Being ในนิตยสาร GM เพื่อนำมารวมเล่มพอคเกตบุคเป็นเล่มที่ 3 งานนี้ใช้เวลานานมากเลยทีเดียว กว่าจะติดต่อและคุยคอนเซ็ปต์กับบรรณาธิการ คือคำหอม ศรีนอก จนลงตัว เขาเอาต้นฉบับไปเก็บไว้ รอเวลาที่จะผลักดันให้ที่ประชุมของทางอัมรินทร์ยอมรับ จนในอีก 2 ปีต่อมา มันถูกเปลี่ยนชื่อ และเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ใหม่หมด กลายเป็นหนังสือ "การเดินทางใต้เงาตึก Aimless Wanderer" ไปเลย เพราะเราคิดว่าชื่อ Cyber Being คงเก่าเกินไปและขายไม่ได้อีกแล้ว เลยพยายามคิดหาชื่อใหม่มาแทน โดยมีน้องเต้ย ภาณุมาศ ทองธนากุล มาเป็นบรรณาธิการเล่มให้

ภาพที่เห็นนี้คือสเก็ตซ์ภาพปก และความคิดเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์หนังสือในขั้นแรกสุด ตั้งแต่ตอนที่ผมยังคิดให้มันเป็น Cyber Being 3 อยู่ ใช้คำโปรยเป็นภาษาอังกฤษ ว่า "20 selected articles from GM Magazine about technology and humanity" แล้วแบ่งเนื้อหาบทความออกเป็น 4 บท คือ Consumerism - Capitalism - Colonialim - Cognitivism ที่จะพูดถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ว่าจะมากระทบต่อมนุษย์และสังคมในแง่ใดบ้าง คือ บริโภคนิยม ทุนนิยม จักรวรรดินิยมทางสื่อ การรับรู้และความคิด โดยเอาตัวอักษรชื่อภาษาอังกฤษของหนังสือและของแต่ละบท มาเรียงกันแบบเกม Scrabble กลายเป็นภาพอย่างที่เห็นข้างบน ดูแล้วงงง ไม่เก็ต และรุ่มร่ามน่าดูเลย ก็มันเป็นร่างแรกจากความคิดน่ะครับ
...

Saturday, August 25, 2007

Skip to My Lou

...

หลังจากที่เมื่อวานเขียนถึงเพลงภาษาอังกฤษ ที่เคยเรียนตอนเด็กๆ ตั้งแต่สมัยอยู่ชั้น ป.1 วันนี้ก็เลยนึกมาได้อีกเพลงนึงแล้วครับ ชื่อเพลงว่า "Skip to My Lou"




Fly's in the buttermilk, Shoo, fly, shoo,
Fly's in the buttermilk, Shoo, fly, shoo,
Fly's in the buttermilk, Shoo, fly, shoo,
Skip to my Lou, my darlin'.

Skip, skip, skip to my Lou,
Skip, skip, skip to my Lou,
Skip, skip, skip to my Lou,
Skip to my Lou, my darlin'.

เนื้อเพลงและไฟล์ midi เพลงนี้ ผมก็อปปี้มาจากเว็บ http://www.niehs.nih.gov/kids/lyrics/skipto.htm นะครับ เสียดายว่าหาโหลดเพลงนี้แบบมีเสียงร้องไม่ได้

เพลงนี้มีท่าเต้นด้วย คือพอร้องว่า Fly's in the buttermilk ก็ทำท่ากระพือปีกเหมือนแมลงวัน พอถึงท่อน Shoo, fly, shoo ก็ทำท่าปัดมือตรงหน้าเหมือนกับไล่แมลงวัน เป็นต้น ส่วนอีกท่อนหนึ่ง ที่ร้องว่า Skip, skip, skip to my Lou นั้น เต้นแบบที่คนหนึ่งเอามือเท้าสะเอวให้แขนเป็นวงกลม แล้วคู่เต้นก็เคลื่อนที่สลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (พอนึกภาพออกไหมครับ? เขียนอธิบายยากเหมือนกันแฮะ ต้องทำท่าให้ดูน่ะครับ ถ้าเห็นแล้วรับรองจะต้องร้องอ๋อทันที) ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่รู้ความหมายของคำว่า Lou เลย มันอาจจะแปลว่า "แถว" หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะเท่าที่ค้นประวัติความเป็นมาของเพลงนี้ จากเว็บวิกิพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Skip_to_My_Lou พบว่ามันเป็นเพลงเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่สมัยที่มีสงครามกลางเมืองโน่นเลย เป็นเพลงที่ร้องในงานเต้นรำแบบแลกเปลี่ยนคู่ชายหญิง แต่เวลาเราเรียนกันนี่มีแต่ผู้ชายนะครับ เพราะเป็นโรงเรียนชายล้วน สมัยนั้น พวกเด็กๆ อย่างเราก็ร้องแบบไม่รู้ความหมายของมันเท่าไร แต่พวกเราชอบร้องแบบแปลงเนื้อใหม่ คือร้องว่า
ซิ้บ...ซิ่บ...ซิบก็ไม่รูด
ซิ้บ...ซิ่บ...ซิบก็ไม่รูด
ซิ้บ...ซิ่บ...ซิบก็ไม่รูด
ซิบก็ไม่รูด...มายดาร์ลิ่ง

นึกถึงความหลังสมัยตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกประทับใจครับ เด็กรุ่นผมเป็นรุ่นที่พวกนักประชากรศาสตร์ของไทยเรียกว่า "ประชากรรุ่นเกิดล้าน" คือเด็กรุ่นที่เกิดในช่วงปีพ.ศ.2506-2526 เป็นช่วงที่มีเด็กไทยเกิดใหม่ปีละ 1 เกินล้านคน ถือเป็นช่วงที่มีประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด การมีเพื่อนร่วมรุ่นเยอะขึ้น นี่ไม่ได้แปลว่าเราจะได้มีเพื่อนเล่นและสนุกเฮฮากันได้เยอะขึ้นนะครับ แต่มันหมายถึงการแก่งแย่งแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมากขึ้นต่างหาก เชื่อไหมว่าผมต้องเรียนพิเศษกวดวิชาตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลเลยนะ เพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนประถมแห่งนี้ให้ได้ การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างคนรุ่นผมนั้นดำเนินมาเรื่อยๆ และถึงจุดพีคที่สุดคือการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย สมัยนั้นพวกเราต้องสอบให้ได้เท่านั้นนะ เพราะมันคือจุดหมายปลายทางของทั้งชีวิต และยังไม่มีใครออกมาพูดปลอบใจในทำนองที่ว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน อย่างที่เขาว่ากันในทุกวันนี้ คนรุ่นผมจึงถือเป็นเด็กรุ่นที่เคร่งเครียดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ความเครียดนี้สะท้อนออกมาให้เห็นได้จากการที่คนรุ่นผมแต่งงานช้าลง และถึงแม้จะแต่งงาน แต่เราก็มีลูกจำนวนน้อยลง หรือบางคนไม่อยากมีลูกเลยด้วยซ้ำ

เมื่อหลายปีก่อนหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยมา ผมไปทำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง มีเย็นวันหนึ่งไปเดินเล่นที่ร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ เจอเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ผมจำเขาได้แค่ลางๆ เพราะเราเรียนกันคนละห้อง จึงจำได้แค่หน้าตาแต่ไม่รู้จักกัน เขาถามว่าเดี๋ยวนี้ทำงานที่ไหน ได้เงินเดือนเท่าไร และเขาก็ถามว่า "เอ๊ะ! มึงเรียนจบคณะอะไรนะ" ผมก็ตอบๆ เขาไป ว่าผมสอบเทียบได้ แล้วเอนทรานซ์เข้าคณะโน่นนี่นั่น เล่าไปตามเรื่องตามราว แล้วเขาก็บอกว่าเขาไปเรียนเมืองนอกเพิ่งกลับมา เรียนแพทย์ทางด้านสายตา และตอนนี้เขามาดูแลร้านตัดแว่นซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว เขาถามผมว่า จำเพื่อนคนนั้นคนนี้ได้ไหม ไอ้นั่นมันเอนท์ติดคณะนั้น ไอ้นี่มันเอนท์ติดคณะนี้ ผมก็เออๆ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเวลามันผ่านมานานมากแล้ว และผมเรียนจบจนออกมาทำงานทำการหลายปีแล้ว เลิกใส่ใจเรื่องการสอบเอนทรานซ์มาตั้งนานแล้ว จึงรู้สึกงงๆ ว่าทำไมเขายังพูดเรื่องราวเก่าๆ วนเวียนอยู่อีก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้คิดอะไรมากนัก ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันในวันนั้น เราก็แลกเบอร์โทรศัพท์กันตามปกติ เผื่อว่าจะได้ติดต่อกันอีกในวันหลัง

หลังจากนั้นหลายเดือน เสียงโทรศัพท์บ้านผมดังตอนหกโมงเช้า เพื่อนคนนี้โทรมาผมแต่เช้าตรู่ ผมจำเสียงเขาได้ และงงว่าโทรมาทำไมวะ แล้วเขาก็เริ่มชวนคุย เออ! มึงจำเพื่อนคนนั้นได้ไหม จำเพื่อนคนนี้ได้ไหม ไอ้นี่เอนท์ติด ไอ้นั่นเอนท์ไม่ติด มึงเก่งนะที่สอบเทียบได้และเอนท์ติด มึงเลยไม่ได้เรียน ม.6 ใช่มั้ย กูเรียนม.6 แต่กูไม่สบาย เลยต้องดร็อปไปปีนึง หลังจากนั้นพ่อกูเลยส่งไปเรียนเมืองนอก ผมงงมากว่ามันจะมาคุยเรื่องความหลังตอนหกโมงเช้าทำไม? แล้วเขาก็เล่าต่อ กูจบหมอทางด้านตา ถ้ามึงมีปัญหาสายตา ก็มาหากูได้ บ้านมึงอยู่แถวไหนนะ พอคุยกันไปคุยกันมาสักพัก ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าท่าทางเขาเพี้ยนแหงๆ ตอนนั้นคนรุ่นผมต้องอายุ 20 กว่ากันแล้ว เรียนจบมีงานมีการทำ แต่ดูเหมือนว่าในสมองของเขา ยังคงวนเวียนติดอยู่กับช่วงวัยมัธยมปลายอยู่เลย ความเครียดของประชากรรุ่นเกิดล้าน นี่มันน่าขมขื่นและน่ากลัวจริงๆ นั่นเป็นการคุยโทรศัพท์กันครั้งสุดท้าย หลังจากเช้าวันนั้น เขาก็ไม่ได้โทรมาอีกเลย ผมลืมเบอร์โทรและชื่อของเขาไปแล้ว

แต่ผมยังจำเพลงภาษาอังกฤษที่เคยเรียนตอนป.1 ได้แม่นยำ The Happy Wanderer และ Skip to My Lou เดี๋ยวกะว่าจะเอาเรื่องนี้ไปเขียนอย่างละเอียด ในคอลัมน์สุนทรียะแห่งความเหงา สำหรับ GM ไว้รออ่านกันนะครับ

...

Friday, August 24, 2007

The Happy Wanderer

...

--- กรุณาปรับวอลุ่มเสียงลำโพงของคุณก่อนจะอ่านต่อ เพราะมี code เพลงอยู่ ---

พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร ใจชอบย้อนคิดไปถึงแต่เรื่องเก่าๆ สมัยยังเด็ก ระหว่างที่กำลังทำอะไรเพลินๆ อยู่ จู่ๆ ก็มีวลีหนึ่งแว้บขึ้นมาในใจ "my - nap - sack - on - my - back" พอนึกไปนึกมา ก็จำได้มันคือตอนหนึ่งของเนื้อเพลงเก่ามาก ที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นป.1 ครูสอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่งเอาสอนให้เด็กนักเรียนร้องตาม ผมจำเนื้อร้องและทำนองเพลงไม่ค่อยได้หรอก เพราะตอนนั้นยังเด็กมาก จำได้แค่เลาๆ ว่าตอนจบเพลงเขาร้องว่า "my - nap - sack - on - my - back" เลยจัดการเข้าไปในเว็บไซต์ Google.com เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวลีนี้ ปรากฏว่าโป๊ะเชะ เจอในทันทีที่กดปุ่มเซิร์ช ว่ามันคือเพลงที่ชื่อว่า "The Happy Wanderer"

I love to go a wandering along the mountain track,
And as I go, I love to sing, my knapsack on my back.

Val-da-ree, val-da-rah,Val-da-ree,
val-da-rah ha-ha-ha-ha-ha Val-da-ree,
val-da-rah,My knapsack on my back.

I love to wander by the stream that dances in the sun;
So joyously it calls to me, ?Come, join my happy song!?

Val-da-ree, val-da-rah,Val-da-ree,
val-da-rah ha-ha-ha-ha-ha Val-da-ree,
val-da-rah, come, join my happy song.

I wave my hat to all I meet, and they wave back to me,
And blackbirds call so loud and sweet from ev'ry green wood tree.

Val-da-ree, val-da-rah, Val-da-ree,
val-da-rah ha-ha-ha-ha-ha Val-da-ree,
val-da-rah, from ev'ry green wood tree.

ผมก็อปปี้เนื้อเพลง และ code เพลงนี้มาจากเว็บไซต์แฟนพันธุ์แท้เพชรพระอุมานะครับ http://petprauma.com/songs/happywonderer.html เพราะในเรื่องเพชรพระอุมามีการกล่าวถึงเพลงนี้อยู่ด้วย และถ้าอยากรู้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับเพลงนี้ เข้าไปอ่านได้ในเว็บไซต์วิกิพีเดีย ท่าทางมันจะเป็นเพลงที่คลาสสิคมากๆ เลยทีเดียว http://en.wikipedia.org/wiki/The_Happy_Wanderer

จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมร้องตามเพลงนี้ไปได้เป็นวรรคเป็นเวร ทั้งที่ไม่รู้เลยว่ามันชื่อเพลงอะไร เนื้อเพลงจริงๆ เขาร้องว่าอะไร มีความหมายอย่างไร แถมตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่า Wander หรือการเตร็ดเตร่เลยด้วยซ้ำ จึงคิดไปว่าตอนต้นเพลงเขาร้องว่า I love to go a wonder ring. ซึ่งหมายถึงแหวนวิเศษอะไรไปโน่นเลย พอเล่าถึงเรื่องเพลงนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง เขาบอกว่าโรงเรียนประถมของผมเดิ้นมากๆ ขนาดแค่ชั้นป.1 ก็มีการสอนให้ร้องเพลงแบบนี้แล้ว ผมบอกว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะแค่เพลงนี้หรอก ยังมีเพลงภาษาอังกฤษอีกมากมายที่ผมได้เรียนในสมัยนั้น ถือว่าเป็นการได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีมากจริงๆ สำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่พ่อกับแม่ผมเรียนจบแค่ชั้น ป.4 และต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อส่งให้ลูกๆ ทุกคนได้เข้าโรงเรียนแห่งนี้

ตลกดีที่เมื่อเวลาผ่านไป 20 กว่าปี ผมนึกถึงเนื้อเพลงนี้แว้บขึ้นมา และค้นจนเจอว่ามันคือเพลง The Happy Wanderer เพลงที่ครูชั้นป.1 สอนให้ผมร้องอย่างมีความสุข ชื่อเพลง The Happy Wanderer ทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจ เพราะในขณะที่ตัวผมเองจริงๆ ในเวลานี้ กลับเป็น Aimless Wanderer ซึ่งแตกต่างกับ The Happy Wanderer อย่างสิ้นเชิง พ่อแม่กับครูภาษาอังกฤษจะผิดหวังไหมนะ?

--- ถ้าต้องการฟังเพลงซ้ำ ให้กดปุ่มรีโหลดหน้าเว็บนี้ ---

...

Thursday, August 23, 2007

And Deep Throat to you all

...

ในที่สุดผมก็ได้ดูหนังที่อยากดูมานานนนนน...แสนนาน Deep Throat หนังโป๊ในตำนาน ที่ผู้ชายอายุ 30 กว่าๆ แบบผม น่าจะเติบโตมาพร้อมกับการได้ยินชื่อเสียงและเรื่องราวของมันมาจนคุ้นเคย จริงๆ สมัยก่อนเราไม่ค่อยเรียกหนังแบบนี้ว่าหนังโป๊นะ เราติดปากเรียกว่า "หนังเอ็กซ์" มากกว่า เพราะการจัดเรทหนังของอเมริกาสมัยนั้น เขาเรียกหนังโป๊แบบนี้ว่าเรท X ไม่ใช่เรท NC-17 แบบทุกวันนี้ หนังเอ็กซ์สมัยก่อนอยู่ในรูปแบบม้วนวิดีโอเท่านั้น เพราะยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต และยังไม่มีแผ่นซีดีเลยด้วยซ้ำไป สมัยนั้นจึงยังไม่มีวัฒนธรรมการดาวน์โหลดบิททอร์เรนท์ และยังไม่มีการไรท์แผ่นหนังแจกเพื่อน ถ้าจะดูหนังก็ต้องไปเช่าจากร้านวิดีโอทั่วไป ซึ่งร้านวิดีโอสมัยก่อนไม่เหมือนกับพวกร้านเชนสโตร์แบบทซึทาย่าหรือร้านบล็อคบัสเตอร์แบบทุกวันนี้ มันเป็นร้านเล็กๆ เจ้าของคนเดียว และไม่มีสาขาเยอะๆ หนังที่มีให้เช่าส่วนใหญ่เป็นพวกหนังซูมจากโรงที่คุณภาพห่วยๆ หนังจีนชุด และหนังฝรั่งของค่ายซีวีดี ซึ่งถ้าคุณสนิทกับเจ้าของร้านมากพอ คุณก็จะเข้าไปที่หลังร้านของเขาที่มีกองหนังเอ็กซ์ให้เช่าได้ สำหรับผมเองตอนนั้นยังเด็กมาก อายุ 10 กว่าขวบ และก็ขี้อายมากเกินกว่าจะไปขอเช่าหนังเอ็กซ์จากร้านเขา แหล่งที่เด็กอย่างผมจะหาหนังเอ็กซ์ดูได้ในสมัยนั้น คือการขอยืมจากเพื่อน เพราะเพื่อนบางคนมันกล้าพอจะไปเช่า หรือบางคนก็แอบเอามาจากพ่อแม่ แล้วเอามาแบ่งให้เพื่อนยืมดู การเข้าถึงหนังโป๊สมัยก่อนจึงเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ ถ้าได้ยืมจากเพื่อนมาม้วนนึง จะต้องแอบซุกในกระเป๋านักเรียนให้ลึกที่สุด กลัวโดนครูจับได้ และพอกลับบ้านก็ต้องหาที่ซ่อนให้มิดชิด ต้องรอเวลาที่พ่อแม่เผลอเท่านั้น ถึงจะเปิดดูได้ ดูเสร็จก็ต้องรีบเอากลับไปคืนเพื่อนอีก ซึ่งความยากเย็นเหล่านี้ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ให้เด็กผู้ชายรุ่นผมยิ่งอยากดูมากขึ้นไปอีก

แต่พอได้ดูแล้วก็ผิดหวังครับ นี่หรือหนังในตำนานที่อยากดูมานานแสนนาน

--- คำเตือน ภาพติดเรทครับ ---


1. ฉากเปิดเรื่องที่คงจะประทับใจอเมริกันชนจำนวนมาก มันถูกนำมาใช้เตือนความจำอีกครั้ง ในหนังสารคดีเรื่อง Inside Deep Throat


2. นี่คือนางเอก ลินดา เลิฟเลซ พอเห็นเธอแล้ว คุณคงพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมพอผมดูหนังเรื่องนี้แล้วถึงรู้สึกผิดหวัง ฉากนี้เธอกำลังคุยกับเพื่อน ปรึกษาว่าเธอไม่เคยถึงจุดสุดยอดระหว่างมีเซ็กส์เลย เพื่อนเลยแนะนำให้ไปหาหมอ (เพื่อนเธอหน้าตาน่ากลัวกว่าเธออีกครับ)

3. หลังจากจับตรวจภายในแล้ว หมอก็แปลกใจว่าทำไมเธอไม่มีคลิตอริส เลยถามว่าเวลามีเซ็กส์ ตรงจุดไหนในร่างกายที่ทำให้เธอรู้สึกเสียวได้บ้าง เธอชี้ไปที่คอ แล้วหมอก็เลยบอกให้เธออ้าปาก เพื่อตรวจลำคอของเธออย่างละเอียด หมอให้คำแนะนำ ว่าเธอจะถึงจุดสุดยอดได้ด้วยการทำออรัลเซ็กส์ โดยต้องพยายามเอ่อ ... คือ ... อธิบายไงดีนะ? เอ่อ ... ก็เอาเข้าไปให้ลึกที่สุดน่ะครับ นี่จึงกลายเป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องนี้ว่า Deep Throat

4. แต่เธอบอกหมอว่าถ้า เอ่อ ... คือ ... อธิบายไงดีนะ? ... คือว่าถ้าเข้าไปลึกมากแล้วเธอจะคลื่นไส้น่ะครับ หมอเลยแนะนำให้เธอฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำคอ แล้วก็ให้เธอทดลองฝึกปฏิบัติจริงครั้งแรกกับตัวหมอเองเลย (หมอคนนี้ใจดีมาก) ฉากนี้ผมพยายามคร็อปภาพอยู่นาน กว่าจะได้ภาพออกมาพอดีจังหวะแบบนี้ มันเป็นการตัดภาพสลับไปมาฉึบฉับ ระหว่างภาพการออรัลเซ็กส์กับภาพการปล่อยยานอวกาศของนาซ่า

5. หลังจากดูไปได้สักพัก ผมก็กดปุ่มฟอร์เวิร์ดไป เพื่อให้หนังมันจบๆ เสียที พอดีมาเจอหน้าดาราสาวคนนี้เลยหยุดดูสักพัก เธอสวยที่สุดในเรื่องครับ จริงๆ แล้วน่าจะได้เล่นเป็นนางเอกเลยดีกว่า หลังจากที่ดูจบแล้ว ก็เลยไปค้นข้อมูลในเว็บ http://www.imdb.com/ แล้วพบว่าเธอชื่อ แคโรล คอนเนอร์ พออ่านประวัติแล้วทึ่งมาก เธอเป็นแม่ของ ธอร่า เบิร์ช ที่เล่นหนังเรื่อง American Beauty นั่นเอง

หลังจากนั้นก็กดปุ่มฟอร์เวิร์ดไปเรื่อยๆ หนังจบด้วยภาพ ลินดา เลิฟเลซ นอนอ้าปากกว้างๆ และขึ้นตัวอักษรว่า The End. And Deep Throat to you all. เป็นการปิดฉากความอยากรู้อยากเห็นอันยาวนาน 30 ปีของผม ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีนะ

มีข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย ว่าหลังจากเล่นหนังเรื่องนี้แล้ว ลินดา เลิฟเลซ กลายเป็นดาราหนังโป๊ที่ฮอตที่สุดของยุค 70-80 แต่หลังจากที่เธอเลิกอาชีพเล่นหนังโป๊ไป เธอก็เขียนหนังสืออัตชีวประวัติ และเปิดโปงวงการหนังโป๊ในยุคนั้น ว่าเต็มไปด้วยการกดขี่และกระทำทารุณกับดาราผู้หญิง เธอระบุว่าถูกสามีทุบตีบังคับให้มาเล่นหนังแบบนี้ และระหว่างการแสดงหนัง Deep Throat เธอถูกปืนจ่อหัวอยู่ ถ้าสังเกตดูภาพในหนังให้ดีๆ จะเห็นรอยเขียวช้ำบนเนื้อตัวของเธอ ฟังดูแล้วน่ากลัวมากครับ ภาพในหนังดูน่ากลัวและเซ็กส์หดขนาดนี้ พอมาฟังเรื่องเล่าจากปากนักแสดง ก็ยิ่งน่ากลัวและเซ็กส์หดมากขึ้นไปอีก

...

Monday, August 20, 2007

วิจารณ์หนังสองเรื่องควบ

...

ผมไม่ได้เขียนบล็อกวิจารณ์หนังเสียตั้งนาน พอดีอาทิตย์ที่แล้วทำงานจ๊อบเสร็จหมด เลยไปฉลองดูหนังมาสองเรื่องควบ หลังจากที่ไม่ได้ดูหนังโรงมานาน หนังที่ดูวันนั้นไม่ใช่ Grindhouse ของเควนตินกับโรดริเกวซนะครับ เรื่องนั้นดูไปได้แค่เรื่องเดียวคือโคโยตี้แข้งปืนกล อยากจะดูอีกเรื่อง คือโชเฟอร์บากพยายม แต่มันก็ดันออกจากโรงไปเสียก่อน โปรแกรมหนังสมัยนี้เปลี่ยนเร็วเหลือเกิน เรื่องที่ได้ไปดูควบมาเลยเป็นเรื่อง Ratatouille กับ The Bourne Ultimatum ต่างหาก

The Bourne Ultimatum ถือเป็นหนังแอคชั่นระทึกขวัญ ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยครับ พล็อตเรื่องไม่มีอะไรมาก แค่เจสัน บอร์น สืบย้อนและเดินทางกลับไปหาจุดกำเนิดของตัวเอง แต่ที่โดดเด่นคือบทที่เขียนให้พระเอกแสนฉลาด เป็นอัจฉริยะ ห้ำหั่นเฉือนคมกับสายลับฝ่ายตรงข้ามทุกวินาที เข้ากันได้ดีมากกับสไตล์การกำกับของ พอล กรีนกราส ที่ตัดต่อหนังฉับไวแถมด้วยภาพที่สั่นไหวเคลื่อนกล้องตลอดเวลา ใครที่ยังไม่ได้ดูและอยากจะไปดูในอาทิตย์นี้ก่อนหนังจะออกจากโปรแกรม ขอแนะนำให้เลือกที่นั่งหลังสุดเท่านั้นครับ เพราะถ้านั่งหน้าแล้วเจอภาพสั่นตลอดเวลาแบบนี้ มีสิทธิเวียนหัวอ้วกแตกก่อนหนังจบ ประเด็นที่สะกิดใจผมตลอดดูหนังเจสัน บอร์น ภาคนี้ คือพระเอกของเรื่องที่รับบทโดย แมทท์ เดม่อน ผมดูแล้วไม่สามารถอินไปกับการแสดงของเขาได้ ว่าเขาเป็นสายลับอัจฉริยะจริงๆ

ปัญหามันเริ่มต้นมาจากการที่เมื่อปีก่อน ผมดูหนังการ์ตูนเรื่อง Team America จากแผ่นดีวีดี การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวล้อเลียนจิกกัดรัฐบาลขวาจัดของจอร์จ บุช ว่าชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก ส่งทหารไปถล่มประเทศโน้นนี้เป็นประจำ แถมยังล้อเลียนจิกกัดพวกดาราฮอลลีวู้ดบางคนที่เป็นฝ่ายซ้าย คอยตามวิจารณ์การทำงานรัฐบาลขวาจัดของตน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ดาราพวกนี้ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากออกมาให้สัมภาษณ์ด่ารัฐบาลเป็นครั้งคราวเท่านั้น เขาทำตัวละครนึงล้อเลียนแมทท์ ได้แสบสุดๆ ด้วยการให้เป็นตัวละครปัญญาอ่อน ทุกฉากที่โผล่มา เขาแต่พูดคำว่า "แม้ททททท เดม่อนนนนนน..." ด้วยน้ำเสียงเหมือนคนมีปัญหาทางสมองและหลงตัวเอง

ผู้ที่ได้ติดตามวงการหนังฮอลลีวู้ดมาพอสมควร คงจะเก็ตมุขนี้ว่ามันล้อเลียนแมทท์ ว่าเขามีภาพพจน์ว่าเป็นดาราหนุ่มที่ฉลาดมากจนถือเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง และมักจะได้รับบทเป็นตัวละครที่ฉลาดๆ เป็นประจำ อันเนื่องมาจากการที่เขาได้รับรางวัลออสการ์ ในฐานะผู้เขียนบทหนัง Good Will Hunting ร่วมกับ เบน แอฟเฟล็ค ซึ่งหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์คนหนึ่ง มีข่าวลือหนาหูหลังจากที่ประกาศผลรางวัลนี้ ว่าพวกเขาไม่ได้เขียนบทหนังนี้ด้วยตัวเอง คนเขียนบทที่แท้จริง คือ วิลเลียม โกลด์แมน นักเขียนบทชื่อดังของฮอลลีวู้ด แต่สามารถที่ทางสตูดิโอเจ้าของหนัง ลงชื่อให้แมทท์และเบนเป็นผู้เขียนบท เพราะต้องการโปรโมทหนังและนักแสดงให้น่าสนใจขึ้น ว่าเป็นหนังฉลาดๆ ที่นำแสดงและเขียนบทโดยดาราฉลาดๆ ถึงแม้ในเวลาต่อมา วิลเลียม โกลด์แมน จะออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อแก้ข่าวหลายครั้งแล้ว ว่านี่เป็นข่าวลือ เขาทำแค่ช่วยให้คำแนะนำและคำวิจารณ์แก่แมทท์และเบนในการพัฒนาบทชิ้นนี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนเขียนเอง แต่ข่าวลือก็แบบนี้แหละ มันมักจะน่าเชื่อถือกว่าข่าวจริงเสมอ แฟนหนังฮอลลีวู้ดหลายคนเลือกที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่า และคงหัวเราะกับมุขตลกในหนังการ์ตูนเรื่อง Team America ที่ล้อเลียน แมทท์ เดม่อน ว่าเป็นดาราปัญญาอ่อน

ประเด็นคือเมื่อคนดูหนังมีภาพล้อเลียนอยู่ติดในหัวสมองไปแล้ว และมีอคติเริ่มต้นไปแล้ว มันเป็นการยากมากที่จะสลัดมันออกไป และทำใจให้อินไปกับหนังเรื่องใหม่ที่กำลังดู ดังนั้น ผมจึงนั่งดู แมทท์ เดม่อน ในบทเจสัน บอร์น แสดงไหวพริบปฏิภาณและความฉลาดเหนือมนุษย์ พร้อมกับมีภาพจากการ์ตูน Team America อยู่ในหัวตลอดเวลา "แม้ททททท เดม่อนนนนนน...แม้ททททท เดม่อนนนนนน...แม้ททททท เดม่อนนนนนน..." เปรียบเหมือนกับในตอนนี้ เวลาผมเห็น บี้ เดอะสตาร์ ออกมาในโทรทัศน์ ผมมักจะนึกไปถึงนายแบบโฆษณาหน้าปลาเก๋า ของโทรศัพท์ดีแทคทุกครั้งไป และเวลาได้ยินเสียงเพลง ไอนี้ดซัมบอดี้...เลิฟ ผมมักจะนึกไปถึงหน้าเสนาเปิ้ล กำลังเต้นและร้องเพลง ไอ้นิดซำบายดีบ่ จากรายการสาระแนโชว์ ที่ทำล้อเลียน บี้ เดอะสตาร์ ทุกครั้งเช่นกัน ความหล่อและความเท่ของ บี้ เดอะสตาร์ ถูกทำลายลงไปหมดสิ้น โดยการล้อเลียนหรือ Parody นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของศิลปะแขนงนี้ได้อย่างดี


... Intermission ... หยุดพักกินน้ำปัสสาวะกันก่อน


Ratatouille หนังการ์ตูนเรื่องล่าสุดจากค่ายพิกซาร์ ซึ่งผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไร เมื่อเทียบกับการ์ตูนเรื่องก่อนๆ ของพวกเขา เนื่องจากผมว่าตอนจบของหนัง ค่อนข้างรวบรัดและยัดเยียดประเด็นแก่คนดูมากเกินไป คือประเด็นการ "วิจารณ์การวิจารณ์" ซึ่งทำให้ประเด็นตอนท้ายของเรื่อง ค่อนข้างเฉไฉออกไปจากประเด็นที่ปูไว้ตอนต้นเรื่อง

--- Spoiler Alert เนื้อหาที่เขียนต่อไปจากนี้อาจจะบอกเล่าเนื้อเรื่องมากเกินไป จนทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้ดูเสียอรรถรสได้ ---

ผมว่าหนังควรจะโฟกัสอยู่ที่ประเด็นที่ปูไว้ดีมากแล้วตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง คือประเด็นว่า Anyone can cook. คือการบอกว่าใครๆ ก็ทำอาหารได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่แหลมคมมาก เป็นการให้กำลังใจคนดู และตอกย้ำความมีศักยภาพในตัวมนุษย์ทุกคน แต่ในตอนท้ายของเรื่อง แทนที่หนังจะจับอยู่ที่พัฒนาการของตัวละครทุกตัว ที่ควรจะต้องค่อยๆ เข้าถึงศักยภาพในตัวเองของแต่ละคน หนังกลับย้ายมุมไปที่การวิพากษ์วิจารณ์ตัวละครที่เป็นนักวิจารณ์อาหารในเรื่อง การทำเช่นนี้ มันไม่ใช่การให้คนดูหนังค่อยๆ ตื่นรู้อย่างเบิกบานภายในตัวเอง แต่เป็นการทำให้คนดูหนัง โบ้ยปัญหาออกไปนอกตัว ว่าเกิดจากความไม่ดีของผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม หนังการ์ตูนเรื่องนี้ก็ไม่ถึงกับเป็นหนังที่แย่มากนัก เพราะประเด็นตอนท้ายเรื่อง ที่เกี่ยวกับการ "วิจารณ์การวิจารณ์" ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก หนังไม่ได้ด่านักวิจารณ์แบบตื้นเขิน ว่าเอาแต่เขียนวิจารณ์ ทำไมไม่ไปทำอาหารเสียเองล่ะ เพราะการด่าแบบนี้งี่เง่าครับ ในระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบทุนนิยมแบบนี้ เราแต่ละคนต้องแบ่งหน้าที่กันทำงานของตนเองไปอยู่แล้ว พ่อครัวก็ทำอาหาร นักวิจารณ์ก็เขียนวิจารณ์ แต่หนังด่านักวิจารณ์และการวิจารณ์แบบเอาอีโก้ตนเองไปถล่มคนอื่น โดยนำเสนอประเด็นนี้ผ่านตัวละคร แอนทอน อีโก้ นักวิจารณ์อาหารชื่อดังตามท้องเรื่อง แค่การตั้งชื่อตัวละครตัวนี้ก็ชัดเจนมากแล้วว่า ปัญหามันอยู่ที่ "อีโก้" เขาวิจารณ์อาหารโดยใช้อีโก้ของตนเอง ไปถล่มถมทับพ่อครัว ยิ่งทำงานวิจารณ์ไปนานเข้า ก็ยิ่งอีโก้พองโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปถล่มทับพ่อครัวได้มากขึ้น ก็ยิ่งย่ามใจและยิ่งเขียนงานวิจารณ์ที่ไปทำร้ายทำลายคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาทำงานเขียนวิจารณ์ ด้วยการพกอีโก้ไปชิมอาหาร แบบยึดหลักว่าจะต้องหาที่ติเตียนให้ได้มากที่สุด

การวิจารณ์คนอื่นและผลงานของคนอื่นแบบเอาอีโก้เราไปถล่ม ทำได้ง่ายมากครับ คือไม่ว่าจะเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เราสามารถหาวิธีด่าเขาได้หมด เพราะเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ ต้องมีข้อบกพร่องและไม่สมบูรณ์แบบเสมอ และที่สำคัญ คือในการมองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราสามารถมองได้หลายมุม แล้วแต่ว่าเราจะเลือกมองมันอย่างไร คือหมายความว่า ทุกอย่างในโลกเราล้วน Subjective หรือเป็นอัตวิสัย ขึ้นอยู่กับผู้มองว่าจะคิดอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าไปชิมอาหารร้านนี้แล้วรู้สึกว่ารสชาติเหมือนเดิม เราก็สามารถมองได้หลายทาง 1.มองว่าพ่อครัวเขามีความชัดเจน มีเอกลักษณ์รสชาติของตนเอง หรือ 2.มองว่าพ่อครัวคนนี้ซ้ำซาก ไม่มีพัฒนาการ เมื่อมองได้หลายทางแบบนี้ ตอนเอามาเขียนวิจารณ์ ก็ขึ้นอยู่กับอีโก้ของคุณแล้วหล่ะ ว่าคุณเลือกว่าจะไปถล่มทับเขา หรือว่าคุณเลือกว่าจะใจกว้างกับเขา

อันนี้คัดลอกมาจากเว็บ imdb.com ครับ เป็นบทวิจารณ์ที่ แอนทอน อีโก้ จัดการเขียนเชือดร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วปิดฝาโลงย้ำว่าเขาจะไม่กลับไปกินที่ร้านนั้นอีกแล้ว
Anton Ego: "Finally Chef Gusteau has found his rightful place in history alongside another equally famous chef... Monsieur Boy-ar-dee."

ส่วนอันนี้ เป็นบทวิจารณ์ชิ้นสุดท้ายของ แอนทอน อีโก้ ที่เขาตระหนักถึงความพองโตของอีโก้ตัวเอง และ ได้เรียนรู้แล้วว่าการวิจารณ์ที่ดี ควรเป็นอย่างไร
Anton Ego: In many ways, the work of a critic is easy. We risk very little yet enjoy a position over those who offer up their work and their selves to our judgment. We thrive on negative criticism, which is fun to write and to read. But the bitter truth we critics must face is that, in the grand scheme of things, the average piece of junk is more meaningful than our criticism designating it so. But there are times when a critic truly risks something, and that is in the discovery and defense of the new. Last night, I experienced something new, an extraordinary meal from a singularly unexpected source. To say that both the meal and its maker have challenged my preconceptions is a gross understatement. They have rocked me to my core. In the past, I have made no secret of my disdain for Chef Gusteau's famous motto: Anyone can cook. But I realize that only now do I truly understand what he meant. Not everyone can become a great artist, but a great artist can come from anywhere. It is difficult to imagine more humble origins than those of the genius now cooking at Gusteau's, who is, in this critic's opinion, nothing less than the finest chef in France. I will be returning to Gusteau's soon, hungry for more.

แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีอีโก้ครับ พ่อครัวก็มีอีโก้ นักวิจารณ์ก็มีอีโก้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พ่อครัวก็คงไม่กล้าทำอาหารให้คนอื่นกิน นักวิจารณ์ก็ไม่กล้าเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่าน แต่วิธีที่เราทุกคนมาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในโลกนี้ และวิธีที่จะทำให้เราทุกคนได้มีโอกาสแสดงถึงศักยภาพความเป็นมนุษย์โดยเท่าเทียม หรือตามประเด็นว่า Anyone can cook. คือการที่เราทุกคนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจารณ์ จะต้องตระหนักและยอมรับ ว่าเราต่างก็มีอีโก้ ไม่ใช่หลงตัวเองจนเอาแต่พูดว่าฉันไม่มีอีโก้ แล้วก็เอาอีโก้ไปวิจารณ์แบบถล่มทับคนอื่นตลอด ที่สำคัญอีกประการ คือการเข้าใจว่าความจริงในโลกเรามันเป็น Subjective เรามองเห็นและตัดสินสิ่งต่างๆ ได้หลายมุม หลายทาง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอย่างไร ไม่ใช่เอาแต่ยืนยันด้วยอีโก้ของตนเอง ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เท่านั้น

...

Sunday, August 19, 2007

สัมผัสความงดงามของธรรมชาติ

...

ภาพดอกไม้ที่สนามหน้าบ้านของผมเอง ดอกอะไรบ้างผมก็ไม่รู้จักหรอกครับ รู้แค่ว่าดอกไม้สีสวยมักไม่มีกลิ่นหอม ดอกไม้ไม่มีสีต่างหาก ที่หอมที่สุด





...

Saturday, August 18, 2007

อาทิตย์ตกแรกในรอบสองเดือน

...

ภาพชุดต่อจากของเมื่อวาน คราวนี้เป็นภาพพระอาทิตย์กำลังตก ถ่ายจากศูนย์อาหารชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างที่ไปนั่งกินข้าวเย็นเพื่อรอดูหนัง ถ่ายผ่านกระจกติดฟิล์มภาพโฆษณาอะไรสักอย่าง ที่มองไม่เห็นจากข้างใน ต้องออกไปมองจากข้างนอกไกลๆ ส่วนสิ่งที่เห็นเป็นสี่เหลี่ยมดำทะมึน นั่นไม่ใช่ภูเขาหรอกนะ มันคือตึกสยามพาราก้อน ตอนนั้นเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ หรี่แสงและเคลื่อนต่ำลง พอดีกับขอบตึกพาราก้อนพอดี ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ลับขอบฟ้าไป แต่ผมไม่ทันเห็นแสงสุดท้ายของวันนั้น เพราะต้องไปดูหนัง โคโยตี้แข้งปืนกล รอบทุ่มนึง



...

Friday, August 17, 2007

ขอบฟ้าแรกในรอบสองเดือน

...

ภาพแรกถ่ายที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตอนไปรับทำงานชิ้นนึงเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ภาพที่สองถ่ายที่วัดอโศการาม บางปู สมุทรปราการ ตอนไปทำงานอีกชิ้น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งนั่นถือว่าเป็นการได้มองเห็นขอบฟ้าเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่ลาออกจากงานมาเมื่อสองเดือนก่อน

จังหวะที่กดชัตเตอร์ถ่ายทั้งสองภาพนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้คอมโพสิชั่นของภาพมันออกมาเหมือนกันแบบนี้หรอกครับ แต่พอตอนที่โหลดภาพลงในเครื่องแล้วเปิดดูพร้อมกัน ถึงได้เห็นว่าขอบฟ้าของผมเป็นอย่างไร

ตลกดีที่ไปๆ มาๆ ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง และขอบฟ้าที่ไกลที่สุดที่มองเห็น คือบางปู สมุทรปราการ 555


1. ขอบฟ้าที่เซ็นทรัลเวิลด์

2. ขอบฟ้าที่บางปู

3. ว่างมาก เลยเอาสองภาพมารวมกัน กลายเป็นขอบฟ้าของผม

...

Sunday, August 12, 2007

Greatest Love of All

...

เมื่อคืนบังเอิญเปิดไปเจอคลิปวิดีโอในเว็บหนึ่ง http://www.tik4u.com/video.php?id=1069 น้องผู้หญิงคนนี้ทั้งน่ารักและทั้งร้องเพลงเพราะ ชนะเลิศไปเลยน้อง เธอทำให้ผมได้หันมาตั้งใจฟังเพลง The Greatest Love of All ก็คราวนี้เอง หลังจากที่เคยฟังมานานมาแล้ว เมื่อ 10-20 ปีก่อน เป็นเวอร์ชั่นของ วิทนี่ย์ ฮูสตัน แต่งโดย ไมเคิล แมสเซอร์ และ ลินดา ครีด แต่ตอนนั้นก็ฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหาของเพลง พอสนใจฟังมันจริงๆ แล้วก็รู้สึกทึ่งกับคนแต่งเพลงนี้ ฉลาดมากและเนื้อหาของเพลงดีมาก

I believe the children are our are future
Teach them well and let them lead the way
Show them all the beauty they possess inside
Give them a sense of pride to make it easier
Let the children's laughter remind us how we used to be
Everybody searching for a hero
People need someone to look up to
I never found anyone who fulfill my needs
A lonely place to be
So I learned to depend on me
I decided long ago, never to walk in anyone's shadows
If I fail, if I succeed At least I'll live as I believe
No matter what they take from me
They can't take away my dignity
Because the greatest love of all
Is happening to me
I found the greatest love of all
Inside of me
The greatest love of all
Is easy to achieve
Learning to love yourself
It is the greatest love of all
And if by chance, that special place
That you've been dreaming of
Leads you to a lonely place
Find your strength in love

เพลงนี้พูดถึงความเป็นปัจเจกชนนิยม และบอกว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักในตนเอง น่าตกใจกับเนื้อหาเหมือนกันนะครับ ความรักที่ยิ่งใหญ่คือความรักในตัวเอง นี่มันสะท้อนให้เห็นแนวความคิดแบบตะวันตกและแบบอเมริกันชนชัดเจนสุดๆ ประมาณว่าดิฉันเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีใครเป็นฮีโร่และไม่เคยอยู่ใต้การครอบงำของใคร ฉันจะสุขหรือทุกข์ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวฉันเอง และในที่สุดแล้ว ดิฉันพบว่าชีวิตแบบนี้นำไปสู่ความดีงามและมีความสุขที่สุด เนื้อเพลงนี่ก็ชนะเลิศไปเลยเช่นกัน

ฟังเพลงนี้แล้วทำให้ผมคิดว่า ความเป็นปัจเจกชนนิยมนี้คือความจริงแท้ของโลกหรือเปล่า เลยนึกเปรียบเทียบไปถึงเพลงไทยอีกเพลงหนึ่ง คือ "ของขวัญจากก้อนดิน" แต่งโดย นิติพงษ์ ห่อนาค ร้องโดยพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์

เราทุกคนก็เหมือนก้อนดินแค่ก้อนหนึ่ง
เปราะบาง ไร้ค่า ไร้ความหมาย
อ่อนแอเหมือนโคลน ไหลไปตามทางเรื่อยไป
เมื่อน้ำแห้งไป ก็แตกระแหง
มีพลังเพียงแค่แรงเดียวที่ยึดเรา
เหนี่ยวรั้งเราไว้ ให้กล้าแข็ง
รวมผู้คนมากมาย ให้ทรงพลังแข็งแรง
รวมเม็ดดินทุกเม็ด ให้เป็นแผ่นดิน
เราก็รู้ พ่อต้องเหนื่อยสักเพียงไหน
ต้องลำบากใจกายไม่เคยสิ้น
เพราะพ่อรู้ พ่อคือพลังแห่งแผ่นดิน
ให้เราพออยู่พอกินกันต่อไป
หากจะหาของขวัญ ให้พ่อสักกล่อง
เราทั้งผองจะพร้อมกันได้ไหม
บวกกันเป็นดินเดียว ให้พ่อได้สุขใจ
ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปอย่างที่เป็นมา
ช่วยกันทำความดี ให้พ่อได้สุขใจ
ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป อย่างที่แล้วมา

เพลงนี้พูดถึงอีกสุดขั้วหนึ่งของความคิด เป็นความคิดแบบคนไทย แบบทางตะวันออก เขาบอกว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นอ่อนด้อย ไร้ความสามารถ ไร้คุณค่า เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะดำเนินชีวิตไปแบบไร้สาระ ไร้จุดหมาย เหมือนกับธุลีดิน เราต่างก็ล่องลอยเฉื่อยแฉะเหมือนกับเศษดินที่ลอยไปตามน้ำ พอน้ำไหลมาเราก็ไหลเละเทะตามไป ดังนั้น ความดีงามและความจริงแท้ของโลก คือการที่เรามาอยู่ร่วมกัน โดยต้องอาศัยพลังจากภายนอกตัวเรา พลังจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่า อันได้แก่สถาบันต่างๆ ในเพลงนี้ก็หมายถึงสถาบันกษัตริย์นั่นเอง ที่จะมาเชื่อมโยงเราทุกคนเอาไว้ เพื่อจะได้ร่วมกันทำอะไรที่ดีงามขึ้นมาได้ ฟังๆ ดูแล้วเพลงนี้ก็เพราะดี กินใจมาก สรุปคือความรักที่ยิ่งใหญ่อยู่ภายนอกตัวเรา มาจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่า คนไทยเราชอบแต่งเพลงทำนองนี้ครับ เราพูดถึงแม่ พูดถึงพ่อ ความรักที่ยิ่งใหญ่มาจากแม่พ่อ ประมาณเพลง "อิ่มอุ่น" หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งเนื้อเพลงพวกนี้นี่ชนะเลิศเช่นกัน

ผมเลยสงสัยว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราแต่ละคนนี่ มีความเจ๋ง ความดีงาม ความสามารถ อยู่ภายในตัวเราเอง หรือว่าเราต่างไร้สาระ ไร้คุณค่าภายใน เราแค่ต้องอาศัยพลังจากภายนอกตัวเราเท่านั้น พี่เบิร์ดของเราถูก หรือวิทนี่ย์ ฮุสตัน ถูกกันแน่? ถ้าจะตอบแบบง่ายๆ คือตอบกว่าก็ทางสายกลางไงล่ะ คือต้องเห็นคุณค่าของตัวเองด้วย และก็ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมด้วย ตอบแบบนี้ง่ายมากครับ

แต่ผมก็สงสัยอีกนั่นแหละ ว่าจุดตรงกลางของมันอยู่ตรงไหน? คนเราเก่งในตัวเองทุกคน หรือเราต้องรออื่นที่เก่งกว่ามาโปรดเรา
...

เกร็ดเพิ่มเติมเล็กน้อยจากเว็บวิกิพีเดีย เพลงนี้เวอร์ชั่นต้นฉบับร้องครั้งแรก ของ จอร์จ เบนสัน ตั้งแต่ปีค.ศ.1977 แต่ต้นฉบับไม่ค่อยดังเท่าไร วิทนี่ย์ ฮูสตัน เอามาร้องอีกครั้งแล้วดังกว่า ในปีค.ศ.1986

...

Wednesday, August 08, 2007

ข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ 3 ข่าว ภายในเวลาแค่วันเดียว

...

น่าสนใจดีครับ ลองมาอ่านกัน โปรดสังเกตเวลาที่เกิดเหตุตามเนื้อข่าวด้วยนะ

1. มินิบัสชนกราวรูด พังยับ4คัน-เจ็บ5 (จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)
http://www.thairath.com/offline.php?section=hotnews&content=56722

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 7 ส.ค. ร.ต.ท. สำราญ ช่วยท้าว พงส. (สบ 1) สน.คลองตัน รับแจ้งมีรถมินิบัสพุ่งข้ามเกาะกลางถนน พุ่งชนรถหลายคันที่วิ่งสวนทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก บริเวณทางลงสะพานข้ามแยกคลองตัน ถนนพัฒนาการขาเข้า ใกล้ซอยพัฒนาการ 16 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จึงรุดไปสอบสวน พร้อมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 เลน พบรถมินิบัส สาย 11 สีเขียว หมายเลขทะเบียน 11-1092 กรุงเทพมหานคร หมายเลขข้างรถ 11-7 วิ่งระหว่างประตูน้ำ-หมู่บ้านผาสุข จอดอยู่เลนซ้ายสุด ลักษณะหันหัวรถย้อนศร ที่เลนกลางถนนมีรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน สท 5738 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ในสภาพหน้ารถพังยับ ยุบเข้ามาเกือบถึงห้องโดยสาร ส่วนด้านท้ายรถมีรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มคว่ำ 1 คัน ริมถนนพบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรน่า สีดำ หมายเลขทะเบียน 5 ฉ-3640 กรุงเทพมหานคร อัดเสาไฟฟ้าในสภาพพังเละเทะ และยังมีรถกระบะอีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ปป 1802 กรุงเทพมหานคร ถูกเฉี่ยวด้านหน้ารถเสียหายเล็กน้อย จอดอยู่ใกล้ๆ เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย เจ้าหน้าที่รีบนำส่งโรงพยาบาลวิภาวดี รามคำแหง พร้อมลากรถที่ได้รับความเสียหายจอดข้างทาง โดยเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ การจราจร ถนนพัฒนาการฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าแยกคลองตัน ติดขัด ไม่สามารถใช้การได้กว่า 30 นาที

สำหรับผู้บาดเจ็บทราบชื่อต่อมาคือ นายจันทร์ที แสงสีดา อายุ 62 ปี โชเฟอร์รถมินิบัส บาดเจ็บที่ศีรษะ และมีแผลที่ใบหน้า นายกมล สีเขียวพงศ์ อายุ 52 ปี คนขับรถยาริส บาดเจ็บเล็กน้อย นายสุรินทร์ แสงสี อายุ 38 ปี คนขับรถโตโยต้า โคโรน่าสีดำ บาดเจ็บที่ศีรษะและขา นายวิชัย มณีวงค์ อายุ 27 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ บาดเจ็บเล็กน้อย และนายอัศวิน กลิ่นน้ำหอม อายุ 25 ปี คนซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บขาขวาหัก

จากการสอบปากคำนายจันทร์ทีโชเฟอร์มินิบัสให้การว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาตามถนนพัฒนาการฝั่ง ขาออกมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านผาสุข ย่านอ่อนนุช ภายในรถมีผู้โดยสาร 1 คน กระเป๋ารถ 1 คน ระหว่างขับรถลงสะพานข้ามแยกคลองตันมาด้วยความเร็ว ตนเหยียบเบรกแล้วรถเสียหลักไถลพุ่งข้ามเกาะกลางถนนไปชนรถโตโยต้า โคโรน่า สีดำ ที่วิ่งสวนทางมากระเด็นไปอัดเสาไฟฟ้า แต่รถยังไม่หมดฤทธิ์ พุ่งชนรถเก๋ง ยาริส อีก 1 อย่างจัง จนรถมินิบัสหมุนไปฟาดกับรถจักรยานยนต์จนล้มคว่ำ ก่อนไปชนรถกระบะอีซูซุ อีก 1 คัน ถึงหมดฤทธิ์

ร.ต.ท.สำราญ ช่วยท้าว เจ้าของคดีกล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใคร แต่ภายหลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวมทั้งสอบปากคำเจ้าของรถคนอื่นๆ และพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ถ้าหากว่าโชเฟอร์รถมินิบัสผิด จะแจ้งข้อหาดำเนินคดีฐานขับรถประมาทเป็นเหตุทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหายและได้รับบาดเจ็บ

...

2. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกพนักงานขับรถสาย 207 1 ปี 6 เดือน ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้นักศึกษาเอแบค ผู้โดยสารเสียชีวิต (จากเว็บไซต์ ฝ่ายข่าวททบ.5 วันที่ 7 สิงหาคม 2550 เวลา 12.00น.)
http://www.tv5.co.th/newss/searchtape3.php?transid=75977

ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลอาญา- รัชดา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา นายนำ โชติมนัส บิดาของนางสาวปิยธิดา โชติมนัส อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเอแบค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทิม แสงเดช พนักงานขับรถสาย 207 เป็นจำเลยในความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขณะขับรถสาย 207 บริเวณแยกลำสาลี ขณะนั้น นางสาวปิยธิดา โชติมนัส อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเอแบค ได้โดยสารและกำลังลงจากรถ และได้พลัดตกจากรถขณะรถกำลังเลี้ยวเพื่อเข้าจอด หลังศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานขับรถ รู้อยู่แล้วว่าประตูอัตโนมัติไม่ทำงาน และต้องใช้ประตูในการเปิด แต่ยังนำรถออกมาวิ่ง ซึ่งขณะนั้นมีผู้โดยสารจำนวนมาก ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังแต่กลับไม่ระมัดระวัง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารพลัดตกจากรถ และถูกรถทับ พฤติการณ์ของจำเลยถือว่าร้ายแรง กระทบต่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของสาธารณะ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตามศาลแพ่งได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 10 ล้าน

...

3. ร่วมบริการ 163 ซิ่งชนเสาไฟฟ้า! ผู้โดยสารเจ็บระนาว “คนขับตีนผี” หนีตามระเบียบ (จากเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์)
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000092588

อุบัติเหตุจากรถร่วมบริการฯ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรถร่วมฯ สาย 163 เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า หน้าปากซอยเพชรเกษม 58 เป็นเหตุให้ผู้โดยสาร และคนเดินเท้าได้รับบาดเจ็บ 19 ราย ส่วนคนขับรถตีนผีหลบหนีตามระเบียบ

วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 19.10 น. พ.ต.ต.วิโรจน์ เทพหนู สารวัตรเวร สน.ภาษีเจริญ รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถประจำทางร่วมบริการ สาย 163 วิ่งระหว่างพุทธมณฑลสาย 4 - ถนนพระราม9 ทะเบียน 11-8886 กทม. เลขข้างรถ 163-28 เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า บริเวณป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยเพชรเกษม 58 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 20 ราย จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบประชาชนจำนวนมากกำลังมุงดูรถร่วมบริการประจำทางคันดังกล่าว สภาพด้านหน้าพังยับเยินชนติดอยู่กับเสาไฟฟ้าซึ่งหักออกเป็นสองท่อน บริเวณท้ายรถร่วมบริการถูกรถแท็กซี่ โตโยต้า สีฟ้า ทะเบียน ทพ-7667 กทม.ชนอัดติดอยู่ ขณะที่ผู้โดยสารที่นั่งมากับรถร่วมบริการและประชาชนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่มีบาดแผลถลอกตามร่างกาย เจ้าหน้าที่กู้ภัยทยอยนำส่งเข้ารักษาตัวที่ รพ.บางไผ่ และรพ.พยาบาลพญาไท 3 รวม 19 ราย โดยมีผู้บาดเจ็บอาการหนักต้องนอนพักรักษาตัวเพื่อรอดูอาการ 3 ราย ทราบชื่อ น.ส.สุภัฎฎา โรจน์วิโรจน์, น.ส.กาญจนา ปัฏภาภรณ์ และ น.ส.ศศิธร สุวรรณบุตร

สอบสวน นางศิริวรรณ เขียวชอุ่ม อายุ 33 ปี กระเป๋ารถร่วมบริการฯ คันดังกล่าวทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถได้ออกจากอู่ย่านพุทธมณฑลสาย 4 เพื่อมุ่งหน้าไปพระราม 9 โดยรับผู้โดยสารมาตลอดทางจนเต็มคันรถ ขณะเกิดเหตุรถขับด้วยความเร็วสูง ประกอบกับมีฝนตกลงมาทำให้ถนนค่อนข้างลื่น เมื่อถึงที่เกิดเหตุขณะที่นายพลเดช ธานี อายุประมาณ 40 ปี คนขับรถพยายามจะเลี้ยวเข้าไปรับผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทาง ปรากฏว่ารถเกิดเสียหลักและพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนเสาไฟฟ้าเกือบจะหัก แรงกระแทกยังทำให้ผู้โดยสารที่มากับรถต่างกระเด็นลงไปกองกับพื้นจนมีผู้บาดเจ็บหลายราย ส่วนนายพลเดชคนขับรถเกรงกลัวความผิดจึงอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป

ด้าน นางจินตนา พรหมบังเกิด อายุ 39 ปี ผู้โดยสารที่มากับรถร่วมบริการและได้รับบาดเจ็บคางแตกจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ขณะเกิดเหตุรถร่วมบริการขับมาด้วยความเร็วสูง และพยายามเลี้ยวตัดหน้ารถแท็กซี่เพื่อเข้าไปรับผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทางแต่รถเกิดเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงเสียงดังสนั่น หลังจากนั้นตนเองและผู้โดยสารคนอื่นต่างกลิ้งลงไปกองกับพื้นรถ พอรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่ามีบาดแผลแตกที่คางก่อนจะมีคนมาช่วยพาตัวลงมาจากรถและนำส่งโรงพยาบาล

ด้าน นายสุริยัน สารบัญ อายุ 32 ปี คนขับแท็กซี่คู่กรณี เล่าว่า ขณะที่ตนขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ารถร่วมบริการฯ คู่กรณีที่ขับอยู่ข้างหน้าเกิดเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าและท้ายรถปัดออกมาขวางหน้ารถตนในระยะประชิดทำให้ตนหักพวกมาลัยหลบไม่ทันจึงพุ่งชนท้ายรถร่วมบริการคันดังกล่าวอย่างแรงจนรถแท็กซี่ของตนเสียหายยับเยิน โชคดีที่ตนเองและผู้โดยสารซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังไม่ได้รับบาดเจ็บ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมสืบสวนติดตามตัวคนขับรถร่วมบริการฯ ที่ยังหลบหนีเพื่อมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

...

3 ข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ เกิดขึ้นภายในเวลาแค่วันเดียวเองครับ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม ข่าวแรกคือข่าวเหตุการณ์อุบัติเหตุรถร่วมบริการ ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 7 สิงหาคม ข่าวที่สองเป็นข่าวคนขับรถเมล์ไปขึ้นศาลในตอนเที่ยง แล้วโดนศาลตัดสินจำคุกในความผิดที่ทำให้ผู้โดยสารตกลงมาตาย และข่าวที่สามเป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับรถร่วมบริการแบบมินิบัส ที่เกิดขึ้นในตอนหัวค่ำของวันเดียวกัน

อ่านข่าวพวกนี้แล้วรู้สึกสงสารตัวเอง สงสารคนกรุงเทพฯ ทุกคน ที่จะต้องมาร่วมทนทุกข์กับชะตากรรมบนท้องถนน แต่คิดไปคิดมา ผมเริ่มรู้สึกสงสารคนขับรถเมล์มากกว่าครับ ผมว่าเหตุการณ์ร้ายแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของคนขับรถเมล์เท่านั้นหรอก และศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินลงโทษคนขับไปนั้น ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความทุกข์ของคนกรุงเทพฯ เลย เพราะถึงแม้จะตัดสินจำคุกคนขับรถเมล์คนหนึ่งไปตอนเที่ยง แต่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ก็เกิดอุบัติเหตุรถเมล์ติดๆ กันอีก 2 เหตุการณ์

ปัญหาที่แท้จริง คือสภาพการจราจรและสภาพสังคมกรุงเทพฯ ของเราเป็นแบบทุกวันนี้ ที่ตกต่ำลงทุกทีๆ มันบีบบังคับให้พวกเราต้องออกมาห้ำหั่นและเข่นฆ่ากันบนท้องถนนทุกวันๆ อยู่แล้วครับ สาเหตุที่มันตกต่ำลงทุกวันๆ ผมลองไล่ๆ ดูแล้วก็ได้แก่

1. นักการเมืองไทย รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมของไทย ในยุค 30 ปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้คอร์รัปชั่นอะไรกันไว้ ก็แสดงว่าโง่เง่าและขาดวิสัยทัศน์สุดๆ ถึงได้เอาเงินงบประมาณประเทศจำนวนมาก ไปทุ่มให้กับการสร้างเครือข่ายทางด่วนลอยฟ้าพาดเมืองไปมา ทำลายทั้งทัศนียภาพ ชุมชนเดิม วิถีชีวิตผู้คน และที่สำคัญที่สุด คือทางด่วนทำให้คนกรุงเทพฯ แยกตัวเองออกจากกัน ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ทุกคนต่างหันไปซื้อรถยนต์ส่วนตัว เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากทางด่วน ยิ่งจำนวนรถส่วนตัวมาก รถก็ยิ่งติด รถยิ่งติดก็ยิ่งสร้างทางด่วน กลายเป็นการแก้ปัญหาแบบงูกินหาง ประชาชนคนกรุงเทพฯ อีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มีรถส่วนตัว เลยต้องถูกบีบให้ใช้รถเมล์ที่มีบริการราวกับนรก ที่ทั้งเสียเวลาและทั้งเสียสุขภาพอย่างร้ายแรง ผมสงสัยจริงๆ ว่าถ้ารัฐบาลไทยสมัย 30 ปีก่อน เอาเงินค่าทำทางด่วนมาเปลี่ยนเป็นทำโครงการรถไฟฟ้า ป่านนี้เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

2. พอรถติดมากเข้า สภาพการจราจรแออัด ขสมก.ที่บริหารงานกันไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว (ไม่รู้ว่าคอร์รัปชั่นกันหรือเปล่า) ก็เลยยิ่งขาดทุนหนัก เพราะรถเมล์ต้องไปติดเปลืองน้ำมันอยู่บนถนนร่วมกับรถส่วนตัวอีกจำนวนมาก รถเสียบ่อยขึ้นเพราะการเอารถใหญ่ เครื่องยนต์ใหญ่ มาขับในสภาพรถติดแบบนี้ก็ยิ่งสึกหรอ สร้างมลพิษทางอากาศหนักขึ้นไปอีก คนขับรถเมล์ที่เป็นชนชั้นล่าง โอกาสน้อย การศึกษาน้อย ก็ต้องมาทนนั่งขับรถตั้งแต่เช้ายันมืดทุกวัน เพื่อเงินเดือนไม่กี่พัน เขาจะสามารถมารับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารทุกคนได้อย่างไรกัน

3. พอขสมก.ขาดทุนมากเข้า ก็ยกสัมปทานการเดินรถบางสายให้เอกชน เอาไปทำรถร่วมบริการ แน่นอนว่าก็ต้องเอาสายที่ขาดทุนมากๆ ยกไปให้เอกชนทำ เอกชนได้สายที่ขาดทุนมา ก็ต้องลดคุณภาพรถ คุณภาพคนขับ คุณภาพการบริการ เพื่อจะได้ลดต้นทุนของตนเองจะได้เหลือกำไร สภาพรถ สภาพคนขับ สภาพการบริการของรถร่วม ทั้งแบบรถใหญ่และแบบมินิบัส ก็เลยเป็นแบบที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้

4. คนขับรถส่วนตัวก็ยังไม่สามารถรอดพ้นความทุกข์จากปัญหาจราจรได้ ในขณะที่พวกเขามีโอกาสสูงกว่า เพราะรถมีความคล่องตัวสูงกว่า ก็ขับแบบเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งกันบนท้องถนน มีบ่อยครั้งที่ผมเห็นรถเก๋งมาจ่อรอแทรกรถเมล์ในคิวไฟแดง รถแท็กซี่ก็มาจอดแช่กีดขวางการจราจร เพียงเพื่อรอรับผู้โดยสารในป้ายรถเมล์ มอเตอร์ไซค์ขับปาดซ้ายปาดขวา ระเบียบวินัยและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นส่งที่สูญหายไปหมดแล้วบนท้องถนน แม้แต่ตำรวจจราจรก็ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง

ผมถามคุณจริงๆ เถอะ เวลาคุณขับรถหรือคุณนั่งรถเมล์ คุณเคยเห็นรถยนต์ส่วนตัวเปิดให้ทางแก่รถเมล์ได้ไปก่อน สักกี่ครั้งในชีวิต? ผมเองแทบไม่เคยเห็นเลย เคยเห็นแต่รถส่วนตัวเหล่านี้รุมกันเอารัดเอาเปรียบแย่งรถเมล์ตลอดเวลา ไม่น่าแปลกที่คนขับรถเมล์จะเครียด ฉุนเฉียว และขับรถห่วยแตกมากขึ้นทุกวันๆ ในที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมค่อนข้างเบื่อตัวเองเวลาเขียนเรื่องเกี่ยวกับรถเมล์ เพราะมันเหมือนกับการบ่นซ้ำๆ ซากๆ แต่คราวนี้มันทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อได้เห็นข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์ซ้อนๆ จับคนขับรถเมล์เหล่านั้นติดคุกไปแล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาหรอกครับ เพราะความผิดมันอยู่ที่ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมือง ที่ดำเนินมาผิดๆ 30 ปีแล้ว และมันอยู่ที่ความไร้ระเบียบวินัยและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพวกเราทุกคน

...

Tuesday, August 07, 2007

10 ปีผ่านไป กับโรงหนังมัลติเพล็กซ์ของไทย

...

ประมาณสิบปีก่อน ผมทำงานเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจครับ ตอนนั้นมีโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์เกิดขึ้นใหม่เป็นแห่งแรก คือ EGV ฟิวเจอร์พาร์คบางแค เขาก็จัดงานเปิดตัวกันใหญ่โต ผมจำได้ว่าไปร่วมงานเปิดและได้ดูหนังในโรงนี้รอบแรกสำหรับสื่อมวลชน คือเรื่องมนุษย์หินฟลินสโตน (ฉบับคนแสดง) อีกไม่นานต่อมาโรงหนังแบบนี้ก็แพร่ไปทั่วกรุงเทพฯ แล้วมีโรงเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์เพิ่มเข้ามาอีก โดยแห่งแรกคือที่ปิ่นเกล้า ช่วงนั้นต้องไปทำข่าวการเปิดตัวโรงหนังบ่อยมาก ได้ไปสัมภาษณ์เจ้าของและผู้บริหารของโรงพวกนี้หลายคน หลายครั้ง ผมจำคำพูดให้สัมภาษณ์ของพวกเขาได้แม่นครับ เขาภูมิใจนักหนาว่าจะเป็นโรงที่มีระบบมาตรฐานมากที่สุด และจะตอบสนองความต้องการของคนดูหนังได้มากที่สุด และต่อไปนี้คือคำสัมภาษณ์ของพวกเขาในตอนนั้น ที่ผมขอยืนยันนอนยันว่าเขาพูดแบบนี้จริงๆ

1. ค่าตั๋วราคาเดียวทุกที่นั่ง เพราะเขาบอกว่าโรงของเขาออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นไม่ว่าคุณจะนั่งตรงไหนของโรง ก็จะสามารถมองเห็นภาพและได้ยินเสียงในคุณภาพเท่ากันหมด สมัยนั้นราคาตั๋วของโรงพวกนี้ ราคาแค่ 70 บาทเท่านั้นครับ ราคาเดียวกันนี้ทุกรอบ ทุกวัน ทุกเรื่อง (เทียบกับค่าตั๋วของโรงหนังแบบเก่าสแตนด์อโลน อย่างสกาล่า แมคเคนน่า เอเธนส์ ที่ปัจจุบันปิดกันไปเกือบหมดแล้ว นั้นจะมีหลายราคา เริ่มตั้งแต่ 30 บาทตรงแถวใกล้ๆ จอ ไปจนถึง 70 บาทตรงแถวหลังสุด)

2. ระบบฉายหนังเป็นแบบใหม่ คือนำฟิล์มหนังทั้งเรื่องมากรอใส่ไว้ในม้วนเดียวกันหมด แล้วฉายตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนถึงเอนด์เครดิตจนหมดฟิล์ม ดังนั้นหนังจะไม่สะดุด ไม่มีการฉายสลับม้วน และคนรักหนังจะได้ดูเอนด์เครดิตจนจบจริงๆ

3. ระบบเสียงแบบดิจิตอลที่ดีที่สุดในโลก มีทั้ง Dolby Digital, DTS, SDDS และระบบการติดตั้งลำโพงภายในโรงได้มาตรฐาน THX ทางเจ้าของโรงและผู้บริหาร ภูมิใจกับเรื่องนี้ที่สุด พูดถึงบ่อยที่สุด และถือเป็นจุดขายสำคัญที่สุดของโรงมัลติเพล็กซ์ในยุคนั้น

4. ช่องว่างระหว่างเก้าอี้ และทางเดินภายในโรง เพิ่มมากขึ้นกว่าโรงแบบมินิเธียเตอร์ (โรงหนังเล็กๆ ที่แอบไปสร้างกันตามห้างสรรพสินค้า) เพื่อความสบายในการนั่งดูหนัง และเพื่อความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน

5. ภายในมัลติเพล็กซ์ มีโรงหนังแยกย่อยไป 8-10 โรง จึงสามารถฉายหนังที่มีความหลากหลาย และจัดโปรแกรมเวลาฉายเหลื่อมกัน เพื่อให้ผู้ชมสามารถมีทางเลือกได้มากกว่า และมีความสะดวกสบาย

สมัยนั้นผมไปดูหนังที่โรงมัลติเพล็กซ์พวกนี้ทุกอาทิตย์ครับ และบางอาทิตย์ก็ดูหลายเรื่องด้วย เพราะราคาถูกมาก ถ้าใครมีบัตรลดหรือบัตรสมาชิกของเขา ที่ซื้อในราคา 100 บาท ก็จะได้รับส่วนลดที่นั่งละ 20 บาท เหลือ 50 บาทเอง อีกทั้งยังโรงยังคุณภาพดีกว่า ผมเคยดูหนังเรื่องเดียวกันใน 2 โรงเพื่อเปรียบเทียบ คือดู Speed ที่โรงแมคเคนน่า และอุตส่าห์ถ่อไปดูอีกรอบที่ EGV ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ก็พบว่าการดูที่โรงแบบใหม่นี้ดีกว่าจริงๆ ทั้งภาพและเสียง ถึงแม้จะต้องเสียเวลาเดินทางไปนานกว่า

เวลาผ่านไปสิบปี จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ได้เป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์พวกเจ้าของและผู้บริหารโรงหนังมัลติเพล็กซ์อีกต่อไป และแทบจะไม่ได้ไปดูหนังตามโรงมัลติเพล็กซ์พวกนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่หนังรอบที่ดูฟรี ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆ นัดไปดู และถ้าไม่จำเป็นหรือไม่ว่างจริงๆ ลองมาดูครับว่าเวลาเปลี่ยน โรงหนังพวกนี้เปลี่ยนไปอย่างไร และมันต่างไปจากคำให้สัมภาษณ์ของบรรดาเจ้าของและผู้บริหารโรงหนัง ที่เคยพูดไว้เมื่อสิบปีก่อนอย่างไร

1. ค่าตั๋วหนังขึ้นราคาเป็น 140 บาทแล้ว และราคาก็ไม่เท่ากันทุกที่นั่งอีกต่อไป ที่ว่าราคา 140 บาทนั่นคือแถวหน้าๆ ของโรง ส่วนแถวหลังๆ นั้นราคาเป็น 160 - 180 บาท และกันพื้นที่หลังสุดของโรง ไว้ทำเป็นเบาะพิเศษสำหรับคู่รัก ราคาสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก (ไหนว่าโรงหนังของคุณออกแบบมาได้มาตรฐานทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนในโรงหนังมีคุณภาพเท่ากันไง)

2. เนื่องจากต้องฉายโฆษณาก่อนหนังจริงเริ่มฉาย นานประมาณ 30-40 นาทีเป็นอย่างน้อย และในแต่ละวันเขาต้องทำรอบฉายให้ได้มากๆ เมื่อหนังใกล้จบ ก่อนหนังจะจบสัก 3-4 นาที จะมีเจ้าหน้าที่ของโรงจะเดินจากทางด้านหลัง ผ่านแถวที่นั่งผู้ชม แล้วไปยืนอยู่ตรงประตูทางออกที่อยู่ตรงด้านหน้าโรง ข้างๆ จอภาพ พอหนังจบปุ๊บ ก็เปิดไฟ เปิดประตูปั๊บ พร้อมกับประกาศเสียงดัง ว่าขอบพระคุณค่ะ เชิญออกตรงประตูนี้ ซึ่งผมว่ามันเป็นการรบกวนสมาธิคนดูอย่างมาก เพราะหนังบางเรื่องจบแบบหักมุม จบแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จบแบบซาบซึ้งอารมณ์พีคสุดๆ คนดูจะเห็นเจ้าหน้าที่โรงไปยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ จอ เพื่อรอเปิดประตูแล้ว ส่วนเอนด์เครดิตนั้นจะฉายไปจนจบ ทุกเรื่องทุกรอบหรือเปล่า นี่ผมไม่แน่ใจนะครับ เพราะไม่เคยอยู่ดูจบสักที

3. ไม่มีโรงที่แปะป้าย THX เหลืออยู่แล้ว และไม่มีโรงที่ฉายด้วยระบบเสียง DTS และ SDDS เหลืออีก ซึ่งสำหรับผม ผมว่าก็ไม่เป็นไรนะ อันนี้ไม่ซีเรียส มันเป็นไปตามพัฒนาการของเทคโนโลยี

4. เขาจัดเก้าอี้นั่งใหม่หมด เก้าอี้ที่นั่งสบายและมีช่องว่างเยอะ เป็นเฉพาะเก้าอี้ทางด้านหลังโรงที่มีราคาแพงกว่า ส่วนเก้าอี้ราคาต่ำสุดที่อยู่ทางด้านหน้า จะเบียดเสียดยัดเยียด ไม่ต่างจากมินิเธียร์เตอร์สมัยก่อน

5. ในโรงมัลติเพล็กซ์มีโรงย่อย 8-10 โรง แต่ส่วนใหญ่นำไปฉายหนังฟอร์มใหญ่ประจำสัปดาห์จนหมด บางทีหนังเรื่องเดียวใช้โรงฉาย 5-6 โรง เพื่อเหลื่อมเวลาฉาย ส่วนหนังฟอร์มเล็กๆ จะไม่มีโรงฉาย หรือฉายแค่ 1-2 รอบต่อวัน ในรอบเช้าสุดตอนศูนย์การค้าเปิด และรอบดึกสุดตอนศูนย์การค้าปิดเท่านั้น ดังนั้นในโรงมัลติเพล็กซ์ 1 แห่ง ที่มี 8-10 โรง จะฉายหนังจริงๆ แค่ 3-4 เรื่อง (ไหนว่าโรงเยอะๆ แล้วจะฉายหนังได้หลากหลาย คนดูสามารถเลือกได้ตามใจ และสะดวกสบายขึ้นไง)

ผมว่าเจ้าของโรงหนังมัลติเพล็กซ์ทุกวันนี้ ละโมบโลภมากเกินไป และไม่มีความจริงใจกับคนดูหนัง เมื่อเขาขยายธุรกิจมาได้สิบกว่าปี ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทำให้โรงหนังแบบเก่าสแตนด์อโลน ล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้ว และได้แทรกซึมตัวเองเข้าไปในทุกศูนย์การค้า ทุกย่านการค้า และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ผู้คน เขากลับใช้เวลานี้ในการตักตวงผลประโยชน์แบบไม่บันยะบันยัง และเบียดบังความสุขของคนดูหนังไปจนหมด

ปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับโรงหนังมัลติเพล็กซ์มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น

1. เรื่องโฆษณาก่อนฉายหนัง ที่มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า บางโรงฉายโฆษณานานถึง 40 นาที เทียบกับเวลาฉายหนังที่มีความยาวประมาณชั่วโมงกว่าๆ หรือประมาณ 100 นาที นั่นเท่ากับว่าเวลาโฆษณานานเกือบจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของเวลาฉายหนังเลยทีเดียว

2. ราคาค่าตั๋วหนังในแต่ละวัน แต่ละรอบ แต่ละเรื่อง แต่ละโรงย่อย ก็ไม่เท่ากันเลย ปรับเปลี่ยนได้ตามใจเจ้าของโรงหนัง วันจันทร์ราคาหนึ่ง-วันศุกร์ราคาหนึ่ง รอบเช้าราคาหนึ่ง-รอบเย็นราคาหนึ่ง ภายในโรงมัลติเพล็กซ์แห่งเดียวกัน โรงย่อยก็ค่าตั๋วไม่เท่ากันอีก

3. แถมยังมีเรื่องเบียดบังเอาที่จอดรถไปให้คนอื่นเช่าทำตลาดนัด เอาลานพื้นที่หน้าโรงไปทำลานเบียร์ แทนที่จะใช้เป็นป้ายรถเมล์หรือที่สาธารณะเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

ทุกวันนี้ หนังส่วนใหญ่ผมดูจากแผ่นดีวีดี ผมซื้อจอแอลซีดี 32 นิ้วมาใหม่ และสั่งซื้อแผ่นดีวีดีราคาถูกๆ จากในอินเตอร์เน็ต เอาไว้นอนดูอยู่กับบ้านสบายๆ ไม่ต้องออกไปเสียค่ารถ ค่าป๊อปคอร์น ค่าเดินช็อปปปิ้ง หรือถ้าอยากดูหนังโรงจริงๆ ถ้าเลือกโรงได้ ผมไปดูที่โรงของเครือเอเพ็กซ์ ได้แก่ สกาล่าและสยาม ซึ่งเป็นโรงหนังแบบเก่าสแตนด์อโลน ที่มีขนาดใหญ่มาก ที่นั่งเยอะ จอภาพใหญ่โต ราคาเพียง 100 บาท เท่ากันทุกเรื่อง ทุกรอบ ทุกวัน ถ้าอยากนั่งหลังสุดก็ราคา 120 บาท

นี่แสดงให้เห็นชัดเลย ว่าโรงหนังมัลติเพล็กซ์ ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของคนดูหนังจริงๆ มันเอาไว้ให้วัยรุ่นหนุ่มสาวไปแฮงค์เอาท์ฉาบฉวยเท่านั้น ไม่ได้เอาไว้ดูหนังแบบคนรักหนัง เวลาผ่านไปสิบปี ในที่สุดผมก็ย้อนกลับไปดูหนังจากโรงหนังแบบกัน และเชื่อว่ามีคนที่เป็นคอหนังจำนวนมากก็คิดแบบเดียวกัน

...